วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า


ในธรรมชาติจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์หรือเกิดเองจากธรรมชาติ ซึ่งมีหลายความถี่ต่างกัน
มากมาย ช่วงความถี่ต่าง ๆ นี้เราจะเรียกว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นบางช่วงอาจจะมีความถี่เท่ากัน
แต่เรียกชื่อต่างกัน เป็นเพราะมาจากแหล่งกำเนิดต่างกัน ความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะเท่ากับความเร็วของแสง
คือ 3 x 108 เมตร/วินาที ในปัจจุบันมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากมายที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์และเกิดจาก
ธรรมชาติดังนี้
คลื่นวิทยุ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ในช่วง 106-109  Hz โดยคลื่นวิทยุจะแบ่งตามความถี่ในช่วง
ความถี่ต่างกัน ในการส่งสัญญาณคลื่นเราเรียกว่า กระบวนการโมดูเลท หรือ โมดูเลชั่น จากนั้นคลื่นดังกล่าวจะไปถึง
ปลายทางและมีการถอดสัญญาณ เราเรียกว่า ดีโมดูเลท หรือ ดีโมดูเลชั่น และการส่งสัญญาณแบบนี้จะมี 2 วิธีคือ

แอมปลิจูดโมดูเลชั่น หรือ ที่เราเรียกว่า AM (Amplitude Modulation) ความถี่จะอยู่ในช่วง 530 – 1600 KHz

ความถี่โมดูเลชั่น หรือที่เราเรียกว่า FM (Frequency Modulation) ความถี่จะอยู่ในช่วง 88 – 108 MHz

การกระจายคลื่นวิทยุ เราจะใช้เสาอากาศเป็นแหล่งในการกระจายคลื่นวิทยุออกไปในอากาศ ซึ่งเรียกว่าสถานีส่งและ
คลื่นส่งไปยังปลายทาง เราเรียกว่าสถานีรับ โดยการกระจายคลื่นมีหลายวิธีดังนี้

คลื่นส่งโดยตรง ส่วนมากใช้กับ FM จะส่งได้ไม่ไกลมาก

คลื่นสะท้อนพื้นโลก ไม่ค่อยนิยมใช้

คลื่นเหนือบรรยากาศ ส่วนมากใช้กับ AM จะส่งได้ไกล

คลื่นเหนือระดับพื้นโลก ใช้กับ AM และ FM

คลื่นโทรทัศน์ คลื่นโทรทัศน์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถี่ประมาณ 108 Hz ซึ่งเป็นความถี่เดียวกับความถี่วิทยุความถี่ FM ซึ่งมีคุณสมบัติไม่สะท้อนชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แต่จะทะลุไปสู่นอกโลก การส่งคลื่นโทรทัศน์ไกลสุด 80 กิโลเมตร ดังนั้นหากเป็นการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์เป็นระยะทางไกล ๆ มักจะส่งเป็นสัญญาณผ่านดาวเทียม

คลื่นไมโครเวฟ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่นำมาใช้ประโยชน์หลายทาง ความถี่ของไมโครเวฟอยู่ที่ 109-1011 Hz
การนำไปใช้ประโยชน์เช่น
ด้านการสื่อสาร ใช้ในการสื่อสารผ่านสัญญาณดาวเทียม หรือ การติดต่อกับยานอวกาศที่อยู่นอกโลก
การใช้งานเรดาร์ คือ ใช้ในการตรวจจับวัตถุบนท้องฟ้า โดยอาศัยยิงคลื่นไมโครเวฟส่งขึ้นไปถ้าหากไปกระทบวัตถุจะส่งสัญญาณกลับลงมา
เตาไมโครเวฟในการทำอาหารให้สุกจะใช้ความถี่ประมาณ 2400 MHz โดยจะไปทำปฎิกิริยากับน้ำซึ่งอยู่ในอาหาร

รังสีอินฟาเรด เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ในช่วง 1011-1014 Hz โดยปกติแล้วสิ่งมีชิวิตจะแผ่รังสีนี้ออกมาตลอดเวลา หรือเราเรียกว่า รังสีความร้อน รังสีนี้สามารถทะลุเมฆหมอกได้โดยมากเราจะใช้รังสีอินฟาเรดนี้ในการถ่ายภาพจับความร้อนจากนอกโลกได้ หรือใช้กล้องอินฟาเรดในการตรวจหาความร้อน นอกจากนี้ยังใช้ในการควบคุมระยะไกลหรือที่เรียกว่า รีโมทคอนโทรล

แสง เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ประมาณ 1014 Hz สามารถรับรู้ด้วยประสาทตา แสงที่ประสาทตาสามารถ รับรู้ได้ คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว แดง เหลือง แสด และเมื่อ 7 สีนี้รวมกันจะกลายเป็นสีขาว

เลเซอร์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีย่านความถี่ ตั้งแต่รังสีเอ็กซ์ รังสีอุลตราไวโอเลต แสงอินฟาเรด ที่เรานำมาใช้ ประโยชน์มากที่สุด คำว่าเลเซอร์(LASER) ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation หรือ การขยายสัญญาณแสงโดยการปล่อยรังสีแบบเร่งเร้า
เครื่องกำเนิดเลเซอร์ แบ่งได้ 4 ชนิดคือ
เลเซอร์แบบแก็ส ใช้แก็สเป็นตัวกลางของเลเซอร์
เลเซอร์แบบของแข็ง ใช้ของแข็งเป็นตัวกลางเลเซอร์ เช่น ผลึกทับทิม
เลเซอร์แบบของเหลว
เลเซอร์แบบสารกึ่งตัวนำ
การนำเลเซอร์ไปใช้ประโยชน์มากมาย เช่น หัวอ่าน CD การอ่านแถบรหัสสินค้า การสื่อสารเส้นใยนำแสง เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เป็นต้น

รังสีอุลตราไวโอเลต เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่าแสง โดยจะอยู่ในช่วง 1015-1018 Hz โดยจะมาจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ รังสีนี้จะไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านทะลุสิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ แต่ก็สามารถทำให้เชื้อโรคบางชนิดตายได้ จึงนิยมใช้ในวงการแพทย์ในการรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคผิวหนัง รังสีนี้ถ้าใช้ในปริมาณมาก ๆ อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังและนัยน์ตามนุษย์ได้ ในชั้นบรรยากาศรังสีนี้ถูกดูดกลืนเอาไว้บางส่วนแล้ว ดังนั้นส่วนที่ผ่านเข้ามายังโลกจึงเป็นปริมาณที่ปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิต

รังสีเอ็กซ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1016-1022 Hz รังสีนี้สามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางหนา ๆได้ ดังนั้นเราจะใช้รังสีนี้ในการตรวจสอบสิ่งของต่าง ๆ ตรวจหาอาวุธ ในการแพทย์จะใช้รังสีนี้ผ่านเข้าไปในร่างกายมนุษย์ หรือการเอ็กซเรย์ เพื่อตรวจสอบการผิดปกติของอวัยวะภายในหรือกระดูก

รังสีแกมมา เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่ารังสีเอ็กซ์ (เราจะเรียกคลื่นที่มีความถี่สูงกว่ารังสีเอ็กซ์ว่า รังสีแกมมาทั้งหมด) รังสีแกมมาเกิดจากการสลายตัวของของธาตุกัมมันตรังสี

สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ

Content on this page requires a newer version of Adobe Flash Player.

Get Adobe Flash player

Content on this page requires a newer version of Adobe Flash Player.

Get Adobe Flash player

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

โอโซน


แหล่งที่มา

1. เกิดตามธรรมชาติ  เกิดจากการรวมตัวกันของโมเลกุลของก๊าซออกซิเจน  โดยมีรังสีอุลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นน้อยกว่า 242 นาโนเมตร เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา  ทำให้เกิดพลังงานที่จะดึงเอาโมเลกุลของก๊าซออกซิเจนให้แตกตัวเป็นอะตอมของออกซิเจน 2 อะตอม  และเมื่ออะตอมของออกซิเจน 1 อะตอมพบกับโมเลกุลของก๊าซออกซิเจนจะเกิดการรวมตัวดังสมการ


                     O2  ---- (uv) ----- O+O
                      O+O2 ---- O3   


โอโซนที่เกิดขึ้นนี้สามารถดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลตแล้วแตกตัวกลายเป็นก๊าซออกซิเจนและรวมตัวกับอะตอมของออกซิจน กลายเป็นโอโซนได้อีก โดยมีรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งจะเกิดเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุดแบบปฏิกิริยาลูกโซ่  โอโซนยังสามารถเกิดได้เองในอากาศจากพายุฝนฟ้าคะนองหรือจากฟ้าแลบได้อีกด้วย กระบวนการเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวนี้เรียกว่าขบวนการโพโตเคมีคอล(Photochamical  process) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดก๊าซโอโซนและสลายตัวพร้อมกัน และในที่สุดปฏิกิริยาของก๊าซโอโซนก็จะอยู่ในภาวะสมดุลโดยที่อัตราการเกิดและสลายตัวเท่ากัน(แล้วจะเกิดมาทำไมวุ้ย..^_^)


2.  เกิดจากการกระทำของมนุษย์ โอโซนถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น  การกำจัดน้ำเสียและใช้ฆ่าเชื้อ การเตรียมก๊าซโอโซนที่สะดวกที่สุดใช้ไฟฟ้า silent electrical discharge กระทำกับอากาศหรือกับก๊าซออกซิเจน ซึ่งก๊าซออกซิเจนบางส่วนเท่านั้นที่กลายเป็นโอโซน  ถ้าใช้อากาศ เรียกก๊าซผสมนี้ว่า ไอโอไนซ์แอร์ (ozonised air)  ถ้าใช้ก๊าซออกซิเจนก๊าซโอโซนที่เกิดขึ้นจะปนอยู่กับก๊าซออกซิเจนที่เหลือ เรียกว่า ozonised oxygen  เครื่องมือที่ใช้เตรียมก๊าซโอโซนด้วยวิธีนี้เรียกว่า โอโนไนเซอร์ (ozonizer)


        โอโซนเป็นส่วนประกอบของบรรยากาศส่วนหนึ่งที่ปกคลุมผิวโลก ซึ่งมีลักษณะเป็นชั้นบางๆ บริเวณที่อยู่แปรผันอยู่ระหว่างระดับน้ำทะเลขึ้นไปถึงระยะ 60  กิโลเมตร โอโซนส่วนใหญ่อยู่ที่ชั้นบรรยากาศสตาร์โตสเฟียร์ซึ่งพบประมาณร้อยละ 89 - 90  ส่วนที่เหลือจะกระจายอยู่ชั้นโทรโพสเฟียร์และเมโซสเฟียร์  ชั้นโอโซนจะทำหน้าที่กรองแสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์โดยสามารถดูดแสง UV-B ความยาวคลื่นระหว่าง 280 - 320 นาโนเมตร  ไว้ได้ประมาณ ร้อยละ 70 - 90   รังสี UV-B  นี้เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต  โอโซนยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดหรือควบคุมอุณหภูมิของโลกและบรรยากาศ  โดยสามารถดูดรังสีอินฟราเรดซึ่งสะท้อนจากผิวโลกและจากชั้นสตราโตสเฟียร์ได้ ทำให้อุณหภูมิบรรยากาศโลกชั้นนี้สูงขึ้น มีผลต่อสภาพภูมิอากาศของผิวโลก


ปริมาณที่ถูกทำลาย


    โอโซนส่วนใหญ่อยู่ในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์  โดยมีความเข้มข้นประมาณ 10 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งเป็นปริมาณน้อยมากแต่ก็มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ ปัจจุบันพบว่ามีการปล่อยสารเคมีต่างๆขึ้นสู่บรรยากาศมากขึ้น ทำให้ก๊าซโอโซนน้อยลงจากการใช้เครื่องมือต่างๆวัดพบว่าโอโซนลดลงร้อยละ 2-3 ที่ระดับความสูง 30-40 กิโลเมตรและจากการใช้เครื่อง สเปคโทรมิเตอร์ (Spectrometer)   ตรวจวัดปริมาณโอโซนในบริเวณขั้วโลกได้ของเดือนตุลาคมในทุกปี  ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี    1957   เป็นต้นไปก็ได้พบว่าปริมาณของโอโซนที่อยู่เหนือบริเวณขั้วโลกได้ลดลงเกือบ 40 เปอร์เซนต์ และลดลงมากที่สุดในปี  1970 ผลการตรวจวัดระดับโอโซนในบรรยากาศได้รับการยืนยันในปี  1975 

จากการใช้ดาวเทียมสำรวจ ได้แสดงให้เห็นว่าเกิดความเสียหายขึ้นต่อชั้นโอโซนเหนือบริเวณขั้วโลกได้ และได้พบความเสียหายได้ขยายตัวมายังบริเวณเส้นศูนย์สูตรประมาณ 45 องศาใต้  ซึ่งองค์การนาซ่าของสหรัฐก็ได้ทำการตรวจสอบสภาพบรรยากาศของโลกได้รายงานว่า เกิดมีลักษณะความเข้มของแสงอาทิตย์ที่ผ่านบรรยากาศไม่สม่ำเสมอจึงได้หาสาเหตุและพบว่าโอโซนที่อยู่รอบโลกในชั้นบรรยากาศโดยเฉพาะบริเวณขั้วโลกใต้ และขั้วโลกเหนือได้ลดลงเป็นหย่อม ๆ  และเกิดมากขึ้นเป็นลำดับบางหย่อมคิดเป็นพื้นที่ได้ประมาณ  9 ล้านตารางกิโลเมตร  ( เกษม, 2533 )   การที่โอโซนในชั้นสตราโตเพียร์ถูกทำลายไปเนื่องจากสารเคมีที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศและสารที่สำคัญคือ  CFCs  ซึ่งจะมีผลทำให้  UV  ส่องมาถึงโลกมากขึ้นมีผลเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตได้


           สารเคมี 2 ชนิดที่อยู่ในรูปของก๊าซ ในชั้นบรรยากาศที่ทำลายโอโซนได้คือคลอรีนออกไซด์(Chlorine Oxides; ClOx) และ ไนโตรเจนออกไซด์ (Nitrogen Oxides ; Nox)  (ดูเรื่องสาร CFC ประกอบ)


           ไนโตรเจนออกไซด์มาจากไนตรัสออกไซด์ (Nitrous Oxides ; N2O)  ซึ่งมีจุดกำเนิดตามธรรมชาติที่ผิวโลก  เช่น  กระบวนการ denitrication ของจุลินทรีย์และในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ เกิดจากฟ้าแลบฟ้าร้อง  พวกเครื่องบินที่บินเร็วเหนือเสียง(SST) ที่ปล่อยไนตริกออกไซด์จากไอเสียและยังมีสารพวกฮาโลเจน (Halogen) โดยเฉพาะพวกก๊าซโบมีน(Br) ที่สามารถสลายโอโซนได้ในทางทฤษฎี


          ขบวนการสำคัญที่สุดที่ทำลายโอโซนคือขบวนการที่มีอะตอมของคลอรีน  ไนตริกออกไซด์  ไฮโดรเจนออกไซด์  โบมีน และ ไฮรโดรเจนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst)  ผลของปฏิกิริยาที่ทำกับโอโซนหรือออกซิเจนนั้น จะทำให้อะตอมของสารพวกนั้นออกมาและเริ่มต้นใหม่เป็นวงจร ดังนี้


                O3    +     Solar radiation----------------  O + O2

                      O  + XO3 --------------------- X  +  O2
                    X  + O3      ---------------------  XO   +  O2
------------------------------------------------------------------------------------------------
                     
Net 2O3                                    3O2

                  (X = Cl,No,Br,OH,H)


โอโซน

คุณสมบัติ 


    ก๊าซโอโซนบริสุทธิ์จะมีสีน้ำเงินแก่ มีกลิ่นคล้ายคลอรีนจางๆ  ถ้าดมเข้าไปมากๆ จะปวดศีรษะ โอโซนละลายน้ำได้มากกว่าก๊าซออกซิเจน มีจุดเดือดที่ -111.5 องศาเซลเซียส และมีจุดหลอมเหลวที่ -251 องศาเซลเซียส เมื่ออยู่ในสภาวะที่เป็นก๊าซบริสุทธิ์จะเสถียรภาพดีพอสมควร แต่ถ้ามีสารอินทรีย์ปนอยู่ในน้ำแล้ว โอโซนจะสลายตัวเป็นออกซิเจนได้ง่าย ถ้าผสมอยู่กับอากาศจะค่อยๆกลายเป็นออกซิเจน ถ้าอุณหภูมิถึง 300 องศาเซลเซียส จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว


วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

อาหาร จะต้านมะเร็งได้อย่างไร


                มีคนสงสัยว่า อาหาร จะต้านมะเร็งได้อย่างไร แล้วคนเป็นมะเร็ง ควรทานอย่างไร จึงจะดีที่สุด  ก่อนอื่นต้องแยกให้ชัดเจนก่อนว่า การป้องกันมะเร็ง กับการรักษามะเร็ง เป็นคนละเรื่องกัน การป้องกันมะเร็ง เราจะเลือกใช้อาหารและสารอาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ อาหารก็ต้องเลือกที่ปลอดสารพิษ หรือมีการล้างอย่างดี เช่น การล้างด้วยน้ำด่าง แช่ด้วยผงถ่าน หรือใช้เครื่องล้างผักสำเร็จรูป ซึ่งจะใช้โอโซนในการฆ่าเชื้อ ทำลายสารเคมีตกค้าง และใช้อัลตร้าโซนิกในการทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยชะล้างสารเคมีตกค้าง ที่อาจฝังแน่นในเนื้อผักผลไม้ลึกลงไปกว่าที่ผิว การเลือกใช้วิธีไหนก็คงขึ้นอยู่กับทุนทรัพย์ และทัศนคติต่อการดูแลรักษาสุขภาพ  เช่น ผงถ่าน ข้อดีคือ ดูดซับสารพิษได้ดี โรงพยาบาลทุกแห่งมีใช้ เวลาผู้ป่วยได้รับสารพิษที่ไม่มีข้อห้ามในการล้างท้อง ก็จะใช้ผงถ่านในการล้างท้อง เพื่อดูดซับสารพิษออกมา ผงถ่านกระปุกใหญ่ ใช้ได้นานเป็นเดือน ราคากระปุกละ 85 บาท  ส่วนการใช้น้ำด่างและน้ำที่มีค่า ORP ติดลบ สำหรับคนที่ติดตั้งเครื่องทำน้ำด่างและน้ำ ORP เป็นลบไว้แล้วที่บ้าน ก็สามารถใช้น้ำชนิดนั้นมาแช่ผักผลไม้ได้เลย  ความจริง ผงถ่านเมื่อละลายน้ำแล้ว ก็จะเกิดความเป็นด่าง ซึ่งจะดึงดูดโมเลกุลของสารเคมีต่างๆ ให้หลุดออกมาจากผิวของผักผลไม้ได้ดี  ส่วนเครื่องล้างสารพิษออกจากผักผลไม้ ราคาเครื่องละ 20,000 – 30,000 บาท  ถ้าพอจะมีเงินซื้อ ก็ไปซื้อมาใช้ เพื่อสุขภาพเราเอง ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องกังวล ใช้วิธีแช่ด้วยผงถ่าน
สารสกัดจากบร๊อคโคลี่
                ถ้าเป็นมะเร็งแล้ว เราจะใช้วิตามินและสารอาหาร ไม่ใช่ในขนาดปกติ แต่เป็นขนาดที่จะมีผลทางเภสัช ออกฤทธิ์ในตำแหน่งเฉพาะๆ เพื่อรักษามะเร็ง เสมือนประหนึ่งเป็นยารักษามะเร็งทีเดียว เช่น สารสกัดจากบร๊อคโคลี่ ชื่อ I3C สามารถยับยั้งตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน มีฤทธิ์คล้ายยาเคมีบำบัดตัวหนึ่ง ซึ่งใช้รักษามะเร็งเต้านมคือยาทามอกซิเฟน เคยมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่า I3C สามารถยับยั้งการเจริญของมะเร็งเต้านมชนิดมีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ถึง 90% ในขณะที่ยาทามอกซิเฟนสกัดสามารถยับยั้งได้ 60% นอกจากนี้ I3C ยังสามารถหยุดยั้งการสังเคราะห์ DNA ในมะเร็งเต้านมชนิดไม่มีตัวรับเอสโตรเจนได้ 50% ซึ่งตัวยาทามอกซิเฟน ไม่สามารถยับยั้งได้
เคอคูมิน
                สารอีกตัวหนึ่ง ได้มาจากสารสกัดขมิ้น เคอคูมิน พบว่า เคอคูมิน ยับยั้งขบวนการเจริญของมะเร็งในขั้นของการสร้างโปรตีนควบคุมการเจริญ ซึ่งในเนื้อเยื่อมะเร็ง จะมีการสร้างโปรตีนกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ ออกมามากผิดปกติ ทำให้เซลล์เจริญผิดปกติ เป็นมะเร็งในที่สุด  เคอคูมิน ยับยั้งโปรตีน หรือยับยั้งตัวรับโปรตีนเหล่านี้ เช่น epidermal growth factor receptor, basic fibroblast growth factor, nuclear factor kappa beta จึงเป็นการควบคุมการเจริญของมะเร็ง

EGCG ในชาเขียว
                ในชาเขียว มีสาร EGCG สารชนิดนี้ ยับยั้ง nuclear factor kappa beta ซึ่งเป็นโปรตีนที่มะเร็งมีมาก มะเร็งสร้างขึ้นมาเพื่อเร่งการโต การศึกษาในปี 2001 พบว่า EGCG ช่วยยับยั้งการเจริญของมะเร็งได้ 58% ลดการสร้างเส้นเลือดใหม่ได้ 30%  และเพิ่มการตายของมะเร็ง 1.9 เท่า  ยังพบอีกว่า EGCG ยับยั้งเอนไซม์ เทโลเมอเรส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (cancer stem cell) อาศัยในการต่ออายุของมัน ดังนั้น EGCG อาจมีบทบาท ลดการทำงานของ เซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งได้

เมลาโทนิน
                เมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง คนนำมาใช้เป็นอาหารเสริมช่วยเรื่องการนอนหลับ พบว่า เมลาโทนิน ไปยับยั้งตัวรับเอสโตรเจน ออกฤทธิ์เหมือนกับยารักษามะเร็งเต้านม ทามอกซิเฟน แต่เมลาโทนิน มีผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับ ทามอกซิเฟน

กระเทียม
                สารสกัดจากกระเทียม พบว่า ช่วยการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยการทำงานเซลล์กินเชื้อโรค มาโครฟาจ และมีรายงานการศึกษาว่าสามารถยับยั้ง มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งเมลาโนมา

องุ่นแดง
                สารสกัดจากองุ่นไวน์แดง เรสเวอราทรอล ช่วยยับยั้งการอักเสบ ซึ่งรวมไปถึงการอักเสบที่เกิดรอบๆ หลอดเลือดในก้อนมะเร็ง และเป็นสาเหตุให้มะเร็งกระจาย และช่วยเพิ่มโปรตีนที่ควบคุมการเจริญของก้อนมะเร็ง โดยผ่านการทำงานของโปรตีน P21 และ โปรตีน BAX ซึ่งจะหยุดการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ การศึกษาในห้องทดลอง พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้ 98% การศึกษาในหนู ลดขนาดเนื้องอกมะเร็งปอดชนิดแพร่กระจายสูง highly metastatic Lewis Lung carcinoma ได้ 42% ลดการแพร่กระจาย 56%

ถั่วเหลือง
                สารสกัดไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลือง  ถั่วเหลือง มีสารที่ช่วยยับยั้งตัวรับเอสโตรเจน และตัวรับแอนโดรเจน จึงสามารถยับยั้งมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก เดิมเราคิดว่าถั่วเหลืองมีสารจำพวกเอสโตรเจนจากพืช คือ ไฟโตเอสโตรเจน เราเลยกลัวว่าถั่วเหลืองไม่น่าจะเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง  แต่นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ในประเทศที่พลเมืองกินเต้าหู้เป็นอาหารหลัก กลับพบอัตราการเกิดมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศน้อย แต่ในประเทศที่ไม่ได้กินเต้าหู้หรืออาหารที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นหลัก จะพบอัตราการเกิดมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนสูงกว่า จึงทำให้นักวิจัยเกิดความสนใจศึกษาเรื่องราวของถั่วเหลืองมากขึ้น  และพบว่า ตัวรับเอสโตรเจนที่ผนังเซลล์มีสองชนิดคือ ชนิดเอกับชนิดบี ถั่วเหลืองจะกระตุ้นตัวรับชนิดบี เท่านั้น ซึ่งส่งผลในการระงับอาการร้อนวูบวาบจากการขาดฮอร์โมน ช่วยเสริมสร้างกระดูก ผิวหนังไม่แห้ง ลดอัตราความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด  ในขณะที่ตัวรับเอสโตรเจนชนิดเอ เกี่ยวข้องกับการเจริญผิดปกติของเซลล์  ยังพบอีกว่า ตัวรับเอสโตรเจนชนิดบี จะกดการทำงานของตัวรับเอสโตรเจนชนิดเอ ดังนั้น ช่วยยับยั้งไม่ให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เข้าไปสู่เซลล์ โดยสรุปก็คือ ถั่วเหลืองมีฤทธิ์แบบต้านเอสโตรเจน ในขณะที่คงคุณสมบัติที่เป็นส่วนดีของเอสโตรเจนไว้ได้ (ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นตัวรับเอสโตรเจนชนิดบี เช่น รักษาระดับความแข็งแรงของกระดูก ผิวหนัง สมอง ลดความเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ)
 
วิตามินซี
                ถ้าจะป้องกันมะเร็งด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีก็ถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวหนึ่ง ปัจจุบันเราหาชนิด 1,000 มก. ได้ไม่ยากนัก คนส่วนใหญ่จะทานวันละ 500 1,000 มก.  แต่ถ้าจะรักษามะเร็ง ไม่ควรใช้สารต้านอนุมูลอิสระพร่ำเพรื่อ  โดยเฉพาะถ้ากำลังอยู่ในระหว่างการให้เคมีบำบัดหรือการฉายแสง  อย่างไรก็ตาม วิตามินซีก็สามารถเป็นเคมีบำบัดรักษามะเร็งได้  แต่ต้องให้ในขนาดสูงมากที่เรียกว่าเมกะโดส วิตามินซีในขนาดที่เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง จะต้องให้ระดับของวิตามินซีในเลือดขึ้นไปสูงถึง 600 mg/dL แม้ว่าวิตามินซีจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ในขนาดสูง จะเป็นอนุมูลอิสระเสียเอง โดยเฉพาะอนุมูลอิสระจำพวกเปอร์ออกไซด์   ทั้งนี้ เซลล์ของมะเร็งจะมีระดับเอนไซม์ย่อยอนุมูลอิสระที่ชื่อ คาทาเลส อยู่น้อยกว่าเซลล์ปกติทั่วไป ดังนั้น เมื่อเกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายจากวิตามินซี เซลล์ทั่วไปก็จะอาศัย คาทาเลส ไปย่อยอนุมูลอิสะชนิดเปอร์ออกไซด์ได้  แต่เซลล์มะเร็งขาดเอนไซม์ คาทาเลส ก็จะไม่สามารถป้องกันตัวเองจากอนุมูลอิสระได้ เซลล์มะเร็งก็ตายลง เคยมีการศึกษาวิจัย ใช้วิตามินซีเมกะโดส ร่วมกับเคมีบำบัด พบว่า ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อเคมีบำบัดได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามการศึกษาด้วยการใช้วิตะมินซีขนาดปกติ ร่วมกับเคมีบำบัด พบว่าผลของเคมีบำบัดลดลง ดังนั้น อย่าตัดสินใจรับประทานวิตามินเอง ถ้าท่านกำลังรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าเชื่อแพทย์ทางด้านเคมีบำบัดไปเสียทั้งหมด เพราะท่านเหล่านั้นไม่มีความรู้ด้านการบำบัดมะเร็งทางอื่น

                เมื่อไม่นานมานี้ มีการศึกษาตีพิมพ์ในวารสารมะเร็งวิทยาคลินิก ธันวาคม ปี 2004 เพื่อจะดูว่า เคมีบำบัด ช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิต 5 ปีออกไปได้มากน้อยแค่ไหน โดยวิธีการวิเคราะห์ผลการศึกษาวิจัย เฉพาะที่พบว่าเคมีบำบัด มีนัยสำคัญทางสถิติที่เพิ่มอัตรารอด 5 ปี ของประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในช่วงปี 1990 ถึง 2004 ผลการศึกษาพบว่า เคมีบำบัดช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตในออสเตรเลียเพียง 2.3%  ในสหรัฐอเมริกาเพียง 2.1%  ถ้าแยกเฉพาะมะเร็งเต้านม ลำไส้ ศรีษะและคอ พบว่าเพิ่มอัตรารอดทั้งหมด น้อยกว่า 5%  มีมะเร็งเพียงไม่กี่ชนิดที่เคมีบำบัดเพิ่มอัตรารอดได้สูง คือ มะเร็งอัณฑะเพิ่มอัตรารอด 41%, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพิ่มอัตรารอด 10.5-38% มะเร็งรังไข่ เพิ่มอัตรารอด 8.8% 
                ...ถ้าเป็นมะเร็งแล้ว นอกจากวิธีการรักษาแบบแผนปัจจุบันแล้ว ควรศึกษาความคุ้มไม่คุ้มในการรักษาให้ดี
.....................................................................................................................................................
 -ข้อมูลจาก   http://www.absolute-health.org/doc-026.htm
แอ็บโซลูท เฮลธ์ คลินิค 53 ชั้น 3 (อาคาร Urbis โรงแรม ดิ เอทัส บางกอก) ซอยร่วมฤดี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี
.........................................................................................................................................................................







1.ผัก  - ผักมีกากใยปริมาณมาก  ซึ่งผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ได้แก่
v   กลุ่มผักมีสี เช่น บีทรูท ผักโขม แครอท มะเขือเทศ  ยิ่งมีสีเข้มมมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่ามีสารที่มีประโยชน์ (phytochemical) มากขึ้นเท่านั้น   รงควัตถุเหล่านี้ได้แก่ ไบโอฟลาวินอยด์ 20,000 ชนิด และแคโรทีนอยด์ 800 ชนิด ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายและยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็ง
v   กลุ่มกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี กะหล่ำดอก   ในผักชนิดนี้จะมีสารต้านมะเร็ง  สารที่ช่วยขจัดสารพิษ ตลอดจน อินดอล-3-คาร์บินอลและซัลโฟราเฟน
v   หัวหอม&กระเทียม ประกอบด้วยไบโอฟลาวินอยด์หลายชนิดด้วยกัน หนึ่งในนั้นได้แก่ เคอร์ซิทิน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้  นอกจากนี้ยังมีสารต้านมะเร็งอื่นๆ ได้แก่ อัลลิซิน , เอส-อัลลิล ซิสทีอิน, ซีลีเนียม และสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย   ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดี ที่เราจะรับประทานกระเทียมและหัวหอม เป็นประจำ
2.       ปลาน้ำเย็น เช่น แซลมอน คอท แมคเคอเรล  ซาร์ดีน  ทูน่าและปลาจากทะเลน้ำลึก  ในปลา  เหล่านี้จะอุดมไปด้วยไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ได้แก่ EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA ( docosahexaenoic acid) ซึ่งชะลอการแพร่ของมะเร็ง  กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆที่พบในน้ำทะเล แต่ไม่พบในดิน
3.       ถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ในถั่วเหล่านี้พบว่ามีสารต้านโปรตีเอสในปริมาณสูง(มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง) นอกจากนี้ยังพบว่ามีอินโนซิทอล เฮกซาฟอสเฟต(กรดไฟตริก ซึ่งในท้องตลาด จะขายในรูปของ IP-6)  และจีเนสเตอิน (ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง)   นอกจากนี้ในถั่วยังอุดมไปด้วยกากใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายตามธรรมชาติ
4.       เมล็ดธัญพืช เช่นข้าว โอ๊ต  บาร์เลย์  ข้าวโพด ข้าวสาลี  เนื่องจากเมื่อกากใยของพืชเหล่านี้แตกตัวที่ลำไส้จะเปลี่ยนเป็นกรดบิวไทริกที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
5.       สาหร่ายทะเล  จะประกอบด้วยสารบางชนิดที่ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร  และยังประกอบด้วยกากใยชนิดพิเศษที่สามารถละลายน้ำได้ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำไขมันอันตราย สารอนุมูลอิสระ สารพิษต่างๆออกจากลำไส้     นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุอย่างดีจากน้ำทะเล
6.       เบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่  เบอร์รี่สีดำ เพราะในเบอร์รี่จะมีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง และยังมีกรดอัลลาจิกที่จะทำลายเซลล์มะเร็งให้ตาย
7.       โยเกิร์ต  เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลัส ที่สามารถหมักนมให้เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน  และเนื่องจากกว่า 80% ของระบบภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่ทางเดินอาหาร  ดังนั้นโยเกิร์ตจึงเป็นอาหารที่จัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายในการป้องการติดเชื้อและยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย
8.       ชาเขียว  ประกอบด้วยคาเทชินและสารเคมีในพืชอีกหลายชนิดด้วยกัน  จากงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่นและจีน พบว่าชาเขียวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้
        หมายเหตุ  การดื่มชาเขียวให้ได้รับประโยชน์เต็มที่นั้น ต้องดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จ เนื่องจากถ้าทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฎิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ  ทำให้สูญเสีย   คุณค่าไป
9.       เครื่องเทศ  -มาสตาร์ด  พริก พริกไท  กระเทียม หัวหอม  ขิง โรสแมรี่  อบเชยและเครื่องเทศอื่นๆที่ใช้ปรุงแต่งรส  สามารถต้านมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
10.    น้ำสะอาด  - เป็นเรื่องแปลกที่กว่า 2 ใน 3 ของพื้นที่บนโลกและของร่างกายนั้นประกอบด้วยน้ำ  เนื่องจากน้ำนั้นเป็นเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆของเซลล์ อาทิเช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง  การทำความสะอาด  การขจัดสิ่งสกปรก  และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์  ตลอดจนนำของเสีย หรือสารพิษออกจากเซลล์อีกด้วย                                                                                                                                                                        

อาหารชั้นเยี่ยม

                        ถึงแม้ว่าอาหารหลากหลายชนิดจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย  แต่มีอาหารเพียงไม่กี่อย่างที่จัดว่าเป็น  อาหารชั้นเยี่ยม ซึ่งได้แก่
v   กระเทียม  เป็นเครื่องเทศกลิ่นแรงที่ใช้ประกอบอาหารกันมามากกว่า 5,000 ปี นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบในสูตรยาฆ่าเชื้ออีกด้วย          หลุยส์  ปาสเตอร์พบว่า กระเทียมสามารถฆ่าเชื้อที่อยู่ในจานเพาะเชื้อได้   และยังพบว่ากระเทียมจะกระตุ้นการทำงานของร่างกายในการป้องกันเซลล์มะเร็ง     อับดุลลาห์ แพทย์ของมหาวิทยาลัยฟลอริดา พบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ที่กินกระเทียม สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดีกว่าเซล์เม็ดเลือดขาวของผู้ไม่กินกระเทียมถึง 139 %   มีการทดลองพบว่าทั้งกระเทียมและหัวหอมสามารถลดการเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง  และจากการให้หนูทดลองกินกระเทียม พบว่าในหนูที่มีแนวโน้มว่าทางพันธุกรรมว่าเป็นมะเร็งได้ง่าย จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลดลง
มะเร็งที่พบได้บ่อย คือมะเร็งกระเพาะอาหาร  ซึ่งนักวิจัยชาวจีน พบว่าการบริโภคกระเทียมและหัวหอมในปริมาณสูงๆ สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่กระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง  นอกจากนี้กระเทียมยังทำให้ตับสามารถทนต่อสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้มากขึ้นด้วย  และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของกระเทียมที่จะทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ไม่ทำลายเซลล์ปกติ ดังนั้นจึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย
v   แคโรทีนอย  -ทั้งแคโรทีนอยและไบโอฟลาวินอยในพืช จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังกระตุ้นการทำงาของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย  โดยที่หน้าที่หลักของแคโรทีนอย คือจะเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง  แคโรทีนอยจะพบทั้งในผัก-ผลไม้สีเขียวและสีส้ม   ส่วนไบโอฟลาวินอยจะพบในพวกผลไม้รสเปรี้ยว ธัญพืช น้ำผึ้ง
v   พวกหัวกะหล่ำ  -ได้แก่  บร็อคโคลี,  กะหล่ำปลี,  กะหล่ำปลีbrussel,  ดอกกะหล่ำ ซึ่งพืชเหล่านี้จะมีส่วนหัวอยู่ติดกับพื้นดิน  เนื่องจากในพืชชนิดนี้จะมีสารอินโดล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง  นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ พบว่าในสัตว์ทดลองที่เลี้ยงด้วยพืชประเภทนี้ เมื่อได้สารก่อมะเร็งชนิดอัลฟาทอกซินนั้นโอกาสเกิดมะเร็งลดลงถึง 90 %
v    เห็ด   นักวิทยาศาสตร์พบว่าเห็ดไรชิ ,เห็ดชิตาเกะ ,เห็ดไมตาเกะ มีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง  มีการทดลองให้สัตว์กินสารสกัดจากเห็ดไมตาเกะ  พบว่า 40%ของสัตว์ทั้งหมดสามารถกำจัดมะเร็งได้หมดสิ้น  ส่วนอีกสัตว์อีก60%นั้นสามารถกำจัดมะเร็งได้ถึง 90%    ในเห็ดไมตาเกะ ประกอบด้วยโพลีแซคคาไลท์ ที่ชื่อว่า เบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยลดความดันเลือด
v    ถั่ว  - บรรดาเมล็ดพืชทั้งหลายที่มีเปลือก จะมีสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถย่อยเมล็ดเหล่านั้นได้โดยตรง  จาการค้นพบที่ผ่านมาพบว่าสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ สามารถยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็งได้   สถาบันมะเร็งนานาชาติ พบว่าในอาหารประเภทถั่วนั้นประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวนและสารไฟโตเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี   และจากงานวิจัยของDr. Ann Kennedy พบว่าในถั่วมีคุณสมบัติดังนี้
·        ป้องกันการเกิดมะเร็งในสัตว์ที่ได้สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
·        ในงานวิจัยบางงานพบว่า สามารถทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าลง
·        ลดผลข้างเคียงของการใช้ยาและรังสีเพื่อการรักษามะเร็ง
·        สามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้
นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่สามารถยับยั้งการแพร่ของมะเร็งได้  อาทิเช่น แอปเปิ้ล  แอพริคอท 
บาร์เล่ย์  ผลไม้รสเปรี้ยว  แครนเบอร์รี่  ปลา   น้ำมันปลา  ขิง  โสม  ชาเขียว  ผักโขม  สาหร่ายทะเล 
.........................................................................................................................................................................................................................................................................
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพดีเรียบเรียงโดย บริษัท กู๊ดเฮลท์ ประเทศไทย จำกัด   ( 7 / 8 / 2549 )

การยิงยีน :

ปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ ปวดร้าว โดยไม่ใช้ยา

แนวทางการบำบัดรักษาอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ ปวดร้าว โดยไม่ใช้ยา สามารถสอบถามและปรึกษากับไคโรแพรคเตอร์และนักกายภาพบำบัด ซึ่งจะมาให้ความรู้พร้อมตรวจกระดูกสันหลัง ในงาน รักแท้...ดูแลสุขภาพ ที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ทุกคนรักและรู้จักดูแลสุขภาพเชิงป้องกันให้ตนเองและคนที่เรารัก ที่ชั้น 3 ตึกฟิฟตี้ฟิฟท์พลาซ่า ทองหล่อ ซอย 2 สุขุมวิท 55 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดต่อได้ที่ 0-2261-0485, 08-6328-6494 หรือ 08-6398-6188.

http://www.thaipost.net/node/52554

ชีวโมเลกุล

ชีวโมเลกุล

โดย น.พ. ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต
มนุษย์เราเมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมจะต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย และต้องตายเป็นธรรมดา แต่กว่าจะตายหรือหมดอายุขัย บางทีเราต้องทนทุกข์ทรมาน กับการเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ นานนับเดือนนับปี เพราะอวัยวะต่างๆ เสื่อมไปอย่างไม่ย้อนคืน

เป็นเวลานานมาแล้ว ที่เราพยายามต่อสู้กับความแก่และความเจ็บป่วยแม้จะรู้ว่าในที่สุดต้องพ่ายแพ้ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีคุณภาพสักหน่อย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากจนเกินไปนัก

ร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมากมายมหาศาล เซลล์ต่างๆ มาประกอบกันเป็นอวัยวะ แล้วทำหน้าที่ต่างๆ กัน เมื่อคนอายุมากขึ้น เซลล์ก็จะค่อยๆ เสื่อมลงไป เซลล์เหล่านี้บางส่วนก็ตายไปบ้าง ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังไม่ตาย แต่ไม่สามารถทำงานได้ เปรียบกับแบตเตอรี่รถยนต์ที่น้ำกรดแห้ง ก็จะไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เมื่อมีเซลล์ที่เสื่อมและหยุดทำงานมากขึ้น ก็ก่อให้เกิดอาการของโรคต่างๆ

นอกจากความเสื่อมของเซลล์ตามปกติแล้ว สิ่งแวดล้อมในโลกปัจจุบัน เช่น น้ำ อาหาร อากาศ ก็ล้วนเต็มไปด้วยสารพิษมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อเซลล์อย่างมาก ทำให้เซลล์ของร่างกายเสียหายเพิ่มขึ้น การใช้ยารักษาโรคที่มีอยู่ เป็นการแก้ไขปลายเหตุเป็นส่วนใหญ่ เช่น โรคเบาหวาน ใช้ยาไปลดน้ำตาลในเลือด แต่ยังไม่มียาหรือสารใดที่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่า สามารถซ่อมแซมการทำงานของตับอ่อนและฮอร์โมนอินซูลิน เป็นต้น

เซลล์ซ่อมเซลล์
ความหวังของมนุษย์ในการฟื้นฟูเซลล์ มีหลักฐานความเป็นไปได้ ตั้งแต่เมื่อประมาณ 70 ปีมาแล้ว เมื่อปี ค.ศ. 1931 ศ.นพ. พอล นีฮาน ศัลยแพทย์ชาวสวิส ได้เอาน้ำที่ได้จากการบดเซลล์ต่อมพาราไทรอยด์จากสัตว์ ฉีดเข้าผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง เนื่องจากถูกตัดต่อมพาราไทรอยด์โดยบังเอิญ ซึ่งเป็นผลจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ครั้งก่อน ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากโรคชักเกร็งได้ และไม่มีการแพ้ใดๆ จากการติดตามผู้ป่วยไปอีก 25 ปีหลังจากนั้น เขาเรียกการรักษาชนิดนี้ว่า Live Cell Therapy

หลังจากนั้น แพทย์ในยุโรปโดยเฉพาะเยอรมันก็ได้พัฒนา Live Cell Therapy หรือการปลูกถ่ายเซลล์สด จนแพร่หลาย มีการค้นพบว่า น้ำที่ได้จากการบดเซลล์หนึ่ง จะไปซ่อมแซมเซลล์ชนิดเดียวกัน เช่นเซลล์ตับก็จะไปซ่อมแซมที่ตับ ทฤษฎีนี้เรียกว่า Cell Heal Cell กลายเป็นเรื่องที่ฮือฮากันอย่างมากในหมู่บุคคลชั้นสูง เนื่องจากค่าใช้จ่ายการรักษาค่อนข้างแพง แพทย์ประสบผลสำเร็จในการรักษาโรคที่สิ้นหวังแล้ว

ชื่อเสียงของ Live Cell Therapy โด่งดังมากในยุโรป เมื่อนายแพทย์พอลล์ นีฮาน ตัดสินใจรับรักษาสันตะปาปา Pius ที่ 12 ซึ่งป่วยหนัก หมดหนทางรักษา แพทย์หลวงทั้งหลายลงความเห็นว่า ท่านจะมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไปอีกไม่นาน การตัดสินใจรับรักษาท่านสันตะปาปาครั้งนั้น นับว่ามีความเสี่ยงมาก และสร้างความหนักใจให้กับนายแพทย์พอลล์ นีฮานไม่น้อย ทั้งจากพระอาการที่เพียบหนัก และจากคณะแพทย์หลวงที่จ้องซ้ำเติมท่านทันทีหากพระอาการไม่ดีขึ้น แน่นอนหากว่าไม่เป็นไปตามคาด ก็คงจะถึงจุดจบของ Live Cell Therapy ที่ท่านทุ่มเทศึกษาค้นคว้ามาตลอดชีวิต ครั้งนั้นหลังจากนายแพทย์นีฮาน เดินทางไปรักษาพระสันตปาปาที่กรุงโรม ประมาณ 1 เดือน สันตะปาปาปิอัสที่12 ก็กลับฟื้นขึ้นมาและมีสุขภาพแข็งแรงได้อย่างปาฏิหาริย์

ในยุคนั้นคนดังอย่าง ชาลี แชปปลิ้น, ประธานาธิบดี คอนราด อาดีนาว แห่งเยอรมัน, ประธานาธิบดีวินสตัน เชอร์ชิลแห่งอเมริกา, นายพลชาลล์ เดอ โกล แห่งฝรั่งเศส, ดไวท์ ไอเซนฮาว, สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น, กษัตริย์โมรอคโค, กษัตริย์ซาอุดิอาราเบีย, กษัตริย์เยเมน ฯลฯ ล้วนเป็นบุคคลที่เข้ารับการรักษาด้วย Live Cell Therapy ในเยอรมันมาแล้วทั้งสิ้น

ชีวโมเลกุลความหวังในการซ่อมแซมเซลล์
จนกระทั่งแพทย์ชาวเยอรมัน คือ นายแพทย์คาลล์ ทอยเรอร์ ตั้งสมมุติฐานว่าความสำเร็จของ Live Cell Therapy ไม่ได้เกิดจากการฉีดเซลล์ที่ยังมีชีวิตทั้งเซลล์ แต่น่าจะเกิดจากโปรตีนที่อยู่ภายในเซลล์ที่ยังคงลักษณะทางชีวภาพไว้ได้ (Bioavailability) นายแพทย์คาลล์ประสบความสำเร็จในการแยกสารชีวโมเลกุลภายในเซลล์ออก ด้วยวิธีการที่สามารถคงลักษณะชีวภาพได้สมบูรณ์ โดยใช้กรดย่อยผนังเซลล์ภายใต้ความเย็นสูง แล้วแยกนิวเคลียสของเซลล์ออก สกัดเฉพาะไซโตพลาสซึ่มเก็บภายใต้ภาวะสุญญากาศ วิธีการดังกล่าวได้รับการจดสิทธิบัตรในเวลาต่อมา

ชีวโมเลกุลที่สกัดได้จะมีคุณสมบัติซ่อมแซมเซลล์แบบจำเพาะเจาะจง เช่น ชีวโมเลกุลจากเซลล์ตับของสัตว์ ก็ซ่อมแซมเซลล์ตับในร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ ขบวนการดังกล่าวยังทำให้เอกลักษณ์ของเซลล์ที่เรียกว่า HLA ซึ่งอยู่บนผนังเซลล์ถูกลบไป จึงไม่มีการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกันปราศจากการแพ้โดยสิ้นเชิง

ความสำเร็จของนายแพทย์คาลล์ กลายมาเป็นความหวังสำหรับคนธรรมดาที่แม้ไม่ได้เป็นผู้มีชื่อเสียง มีเงินทองมากมาย ก็สามารถเข้าถึงการรักษาที่ได้ผลอัศจรรย์นี้ได้ และรัฐบาลเยอรมันก็ได้ขึ้นทะเบียนยาที่ทำจากชีวโมเลกุลจำนวน 100 ตำรับเมื่อประมาณปีค.ศ. 1950 และใช้รักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ทุกชนิดอย่างได้ผลมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ความจริงเกี่ยวกับการแพทย์ชีวโมเลกุล
ในห้วงอายุของมนุษย์ โดยทั่วไปเซลล์ต่างๆ จะแบ่งตัวชดเชยการสึกหรอประมาณ 50-60 ครั้ง จากการศึกษาพบว่า ชีวโมเลกุล ช่วยให้เซลล์แบ่งตัวได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4-6 ครั้ง ซึ่งเท่ากับว่าทำให้ช่วงอายุของคนยืนยาวขึ้นนั่นเอง

การทำงานของเซลล์ต่างๆ มีหัวใจหลักคือการสร้างโปรตีน แล้วโปรตีนที่ได้ก็ไปทำหน้าที่ต่างๆ เช่น เป็นน้ำย่อย เป็นฮอร์โมน เป็นเนื้อเยื้อต่างๆ ฯลฯ การสร้างโปรตีนในเซลล์จะคล้ายกับการปั้มตรายาง เมื่อใช้ไปนานๆ เข้า น้ำหมึกเริ่มแห้ง ตรายางเริ่มสึก คุณภาพของการปั้มก็จะเสียไป ชีวโมเลกุล จะไปซ่อมแซมเซลล์ดุจการซ่อมตรายาง และเติมน้ำหมึก ทำให้คุณภาพการปั้มดีขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า การแพทย์ชีวโมเลกุล สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิดปกติ ตลอดจนคำสั่งที่ผิดพลาดต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดโรคมะเร็ง จึงใช้เป็นทั้งการป้องกัน และรักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิด

ปัจจุบันมีแพทย์ประมาณ 20,000 คนในยุโรปโดยเฉพาะเยอรมัน ใช้ การแพทย์ชีวโมเลกุล ในการรักษาผู้ป่วย และมีประเทศที่ให้การรับรองการรักษาด้วยวิธีนี้แล้วทั่วโลก จำนวน 48 ประเทศ มีผู้ป่วยที่รับการรักษาแล้วประมาณ 150 ล้านคน

โรคที่ได้รับการระบุว่า สามารถรักษาได้ด้วยการแพทย์ชีวโมเลกุล คือ โรคความเสื่อมทุกประเภท โรคหัวใจ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ ภูมิแพ้ รูมาตอยด์ กระดูกเสื่อม ข้อเสื่อม ไตวาย หัวใจล้มเหลว เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ วัยทอง ความพิการทางสมอง ระบบประสาทถูกทำลาย โรคเครียด โรคตับ โรคสมองเติบโตช้าในเด็ก ปัญญาอ่อน โรคเลือด โรคเหงือกและฟัน โรคของตับ อ่อน ต้อหิน ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ ภูมิคุ้มกันไวเกิน โรคหู โรคตา โรคความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ภาวะมีบุตรยาก โรคผิวหนัง สิวหัวช้าง โรคเส้นเลือดตีบ โรคพาร์กินสัน โรคแผลกระเพาะอาหาร เป็นต้น

มีสถิติที่น่าสนใจคือ โรคเรื้อรังต่างๆ ที่แพทย์ระบุว่าสิ้นหวังแล้ว สามารถทำให้ผู้ป่วยกระเตื้องขึ้น หรือหายจากโรคได้สำเร็จถึง 68 %

จุดเด่นของการรักษาด้วยชีวโมเลกุล คือ
  • ใช้รักษาโรคที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผลแล้ว ดังที่นายแพทย์คาลล์กล่าวไว้ว่า เป็นการ “ให้ความหวัง สำหรับผู้ที่สิ้นหวังแล้ว” (offer new hope for the hopeless)
     
  • ไม่มีการแพ้ ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ใช้ได้แม้กระทั่งในเด็กทารก
     
  • เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่รักษาที่อาการ ยกตัวอย่างในโรคเบาหวานชนิดที่ต้องใช้อินซูลิน ความผิดปกติอยู่ที่ Islet of Langerhans แพทย์ปัจจุบันใช้อินซูลินจากภายนอกเข้าไปชดเชย ซึ่งต้องใช้ไปตลอดชีวิต ส่วนการแพทย์ชีวโมเลกุล ใช้สารชีวโมเลกุลจากตับอ่อนเข้าไปซ่อมเซลล์ตับอ่อน
     
  • เป็นการรักษาโดยการฟื้นฟูร่างกายทั้งระบบ การเจ็บป่วยของมนุษย์ไม่ได้เกิดเป็นอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง แต่มักจะเชื่อมโยงกันทั้งระบบ การรักษาที่ได้ผลจึงเน้นการรักษาทั้งร่างกายแบบองค์รวม
     
  • ทำให้มนุษย์มีอายุขัยยืนยาวขึ้น และทำให้ผู้สูงอายุมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพดีตามสมควร GIVE LIFE MORE YEAR AND GIVE YEAR MORE LIFE
ทำไมการแพทย์ชีวโมเลกุลจึงไม่แพร่หลาย
ความจริงการแพทย์ชีวโมเลกุลแพร่หลายในยุโรปมานาน แต่ความรู้นี้จำกัดเฉพาะในยุโรปที่พูดภาษาเยอรมัน ต้องยอมรับกันว่าประเทศที่มีบทบาทและทรงอิทธิพลในวงการแพทย์ทั่วโลกคือ อเมริกา ตราบใดที่อเมริกายังไม่รู้จักวิธีการรักษาอย่างนี้ ตราบนั้นก็เป็นการยากที่วงการแพทย์ทั่วๆ ไปจะเข้าใจและยอมรับ

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีหลักฐานมากขึ้นในประเทศอเมริกาและประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอื่นๆ ในความพยายามที่ใกล้เคียงกัน และเป็นการสนับสนุนทฤษฎีเซลล์ซ่อมเซลล์

เมื่อปีค.ศ. 1999 กุนเธอร์ โบเบล ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ในการที่เขาพิสูจน์ว่า โปรตีนของเซลล์ มีรหัสที่ใช้ระบุว่า จะเดินทางไปยังจุดหมายที่ไหน เพื่อทำงานที่จำเพาะเจาะจง

และล่าสุดนี้ นิตยสาร Nature ฉบับวันที่ 5 เดือนเมษายน 2001 ตีพิมพ์ผลงานวิจัยของแพทย์จาก New York Medical College สหรัฐอเมริกา แพทย์ทำการทดลองในหนู โดยการผูกเส้นเลือดหัวใจของหนู กระตุ้นให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย จากนั้นนำเซลล์ต้นตอ (Stem cell) จากไขสันหลังของหนูอีกตัวหนึ่ง ฉีดเข้าไปตรงกล้ามเนื้อหัวใจที่ตายไปแล้ว ผลปรากฎว่า เกิดการสร้างเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจใหม่ ทดแทนเซลล์ส่วนที่ตายไปแล้ว ได้ถึง 68% ภายใน 9 วัน นอกจากนี้ คณะนักวิจัยยังสัญญาว่า การพัฒนาความรู้นี้เพื่อเป็นยารักษาโรค จะเป็นไปได้ อีกภายในเพียง 3 ปีข้างหน้านี้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม อยากจะกล่าวในที่นี้ว่า เป็นการดีที่อเมริกากำลังพัฒนาความรู้ด้านนี้ขึ้น เพราะในที่สุดจะมีผลให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง แม้ว่าความจริงแล้วแพทย์เยอรมันได้พัฒนาความรู้นี้มาก่อนหน้าถึงเกือบ 50 ปี จนผลิตยารักษาโรคที่ใช้ทฤษฎีนี้ ช่วยเหลือผู้ป่วยที่สิ้นหวังมาแล้วนับล้านๆ คน
 http://www.baanjomyut.com/library_2/molecular_biology/index.html

“Gene Test”

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

พลังงานอาหารที่ต้องการในแต่ละวัน

1.คำนวณพลังงานที่ใช้ต่อวันในภาวะร่างกายปกติ ด้วยสูตร Basal Metabolism Rate (BMR)

สำหรับผู้ชาย

BMR = 66 + (13.7 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (5 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (6.8 x อายุ)

สำหรับผู้หญิง

BMR = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (1.8 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (4.7 x อายุ)

ยกตัวอย่างเช่น

ผู้ชาย อายุ 31 ปี ส่วนสูง 175 ซม. น้ำหนัก 80 กก.

BMR จะเท่ากับ 66 + (13.7 x 80) + (5 x 175) – (6.8 x 31) = 1826.2 แคลอรี่

2.คำนวณพลังงานที่ใช้เมื่อมีการทำกิจกรรมเพิ่มเติมในแต่ละวัน

2.1 นั่งทำงานอยู่กับที่ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย = BMR x 1.2

2.2 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเล็กน้อย ประมาณอาทิตย์ละ 1-3 วัน = BMR x 1.375

2.3 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาปานกลาง ประมาณอาทิตย์ละ 3-5 วัน = BMR x 1.55

2.4 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก ประมาณอาทิตย์ละ 6-7 วัน = BMR x 1.725

2.5 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนักทุกวันเช้าเย็น = BMR x 1.725

ตัวอย่างเช่น BMR ของคุณ = 1826.2 คุณเป็นคนออกกำลังกายปานกลาง ประมาณอาทิตย์ละ 3-5 วัน ก็เอา BMR x 1.55

นั่นคือปริมาณพลังงานที่คุณต้องการต่อหนึ่งวัน คือ 1826.2 x1.55 = 2830.61 แคลอรี่

เมื่อเรารู้ค่าพลังงานที่เราต้องการนี้แล้ว เราก็ต้องทำการจดว่าเราอาหารอะไรไปบ้าง แล้วลองไปเปิดหนังสือพลังงานอาหารหรือค้นหาจากเว็ป http://www.thaifoodcalories.com/ ว่าเราทานไปเท่าไร เพื่อที่จะลดน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก เราก็ไม่ควรทานอาหารมากเกินกว่าปริมาณแคลอรี่ ที่ร่างกายเราต้องการ




หากคุณไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงต้องจบลง เพราะสิ่งนี้คือ
ยุธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อสิ่งมีชีวิตมีเพียงคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตามมา และคนคนนั้นคือ คุณ!เพราะนี่เป็นเหตุผลแรกที่...ทำไมหลายๆ ต่อหลายคน..ถึงไปไม่ถึงเป้าหมายที่พวกเขาตั้งไว้ เป็นเพราะ

- ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

- ทำตามเป้าหมายไม่ถูกต้อง

- เป้าหมายไม่มีแรงจูงใจ

- พิจารณาสิ่งต่างๆ ไม่เพียงพอ

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

ศูนย์สุขภาพทางเลือกเกี่ยวกับโรคที่รักษายาก


แพทย์ทางเลือก
(จากเวบ http://www.siamhealth.net/public_html/alter/index.htm)
แพทย์ทางเลือกถือกำเนิดจากประเทศทางตะวันออกโดยเฉพาะประเทศจีน ประชาชนชาวไทยและประชากรทั่วโลก ได้หันมาสนใจการรักษาแบบแผนโบราณทั้งการฝังเข็ม โยคะ รำไทเก๊ก การทำสมาธิ สมุนไพร ชีวจิต ฯลฯ ปัญหามีอยู่ว่าการรักษาแพทย์ทางเลือกชนิดใดที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับราคา
โรคชนิดไหนที่ใช้การรักษาแบบแพทย์ทางเลือก ใครเป็นผู้เชี่ยวชาญ การรักษานั้นมีผลข้างเคียงหรือข้อห้ามอย่างไรบ้าง สมุนไพรนั้นใช้รักษาโรคอะไรใช้ขนาดแค่ไหน และนานแค่ไหน
เมืองนอกจะมีคำสองคำที่เกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกคือ complementary treatment หมายถึงการรักษาร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่นการรำไทเก็กร่วมกับการจ่ายยาคลายเครียด

  • Alternative หมายถึงการรักษาโรคโดยใช้แผนโบราณอย่างเดียว เช่นใช้การรักษาแบบ Homeopathy



  • ปรัชญาของการรักษาโดยแพทย์ทางเลือก
    ปรัชญาของการรักษาโดยแพทย์ทางเลือกแต่ละชนิดจะมีลักษณะที่คล้ายกันดังนี้
    1. หลักข้อแรกคือร่างกายสามารถที่รักาาตัวเอง เมื่อคุณเป็นหวัดมีไข้ปวดตามตัวคุณไม่จำเป็นต้องใช้ยาลดไข้ แต่ให้หาวิธีที่จะกระตุ้นให้ภูมิของร่างกายมาจัดการกับเชื้อโรค
    2. การป้องกันเป็นวิธีที่ดี แพทย์ทางเลือกมักจะเน้นเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา การรักษาที่แพทย์ทางเลือกให้นั้นมุ่งเน้นที่ป้องกันโรคมากกว่า
    3. เรียนรู้และร่วมกันรักษา แพทย์ทางเลือกมักจะศึกษาร่วมกับผู้ป่วยเพื่อหาทางรักษาตามความต้องผู้ป่วย



    ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี 

     การล้างพิษ และการจัดทัวร์สุขภาพ

    ล้างพิษกับทัวร์สุขภาพ อย่างไรก็ดียังมีผู้อ่านหรือผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งแม้ต้องการจะล้างพิษด้วยการอดเพื่อสุขภาพด้วยตนเอง แต่ก็มีอุปสรรคเช่นปรุงอาหารเองไม่เป็น ไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติเองได้ หรือไม่มีวินัยกับตนเองจึงควบคุมอาหารไม่สำเร็จ บ่อยครั้งที่จะมีคนติดต่อเข้ามาที่คลินิกแสดงความคิดเห็นว่า "อยากจะให้หมอช่วยพาปฏิบัติโดยจัดเป็นโปรแกรมขึ้น" เสียงเรียกร้องเหล่านี้ทำให้เราตระหนักในความจริงว่า คนเราแต่ละคนย่อมมีน้ำใจอดทนแตกต่างกัน มีความเข้มงวดต่อตนเองต่างกัน ถึงคราวจำเป็นที่แพทย์ธรรมชาติบำบัดของเราจะต้องนำพาผู้รักสุขภาพให้ปฏิบัติกันจริงๆ

    ........................
    .............................................................................................................................................................................



    ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์บูรณาการแบบครบวงจร ด้วยการแพทย์แนวผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือก   โปรแกรมการรักษาประกอบไปด้วย
     http://www.whollymedical.com/index.php

    วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

    มะเร็ง



    มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เซลล์เจริญ(แบ่งตัว) อย่างผิดปกติ การที่เซลล์เปลี่ยนสภาพไปจากปกติจะไม่อยู่ในการควบคุมวัฏจักรการแบ่งตัว รุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียง หรืออาจแพร่กระจายไปยังที่อื่น ๆ (การแพร่กระจายของเนื้อร้าย) ลักษณะทั้งสามประการที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของเนื้อร้ายซึ่งต่างจาก เนื้องอก ซึ่งไม่ร้ายแรงเพราะไม่รุกรานหรือแพร่กระจาย และขนาดจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    อาหารที่ต้องห้าม
    ไอศครีม ครีม

    ได้แก่ ชา กาแฟ บุหรี่ โกโก้ ช็อคโกแลต แอลกอฮอล์ ครีม น้ำตาลทราย แป้งขัดขาว ไอศครีม เค้ก ผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น ถั่วเหลือง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เมล็ดถั่วทุกชนิด ควรงดในระยะ 6 เดือนแรก อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง ของหมักดอง ผงชูรส ผงฟู ยาสีฟันที่มีเกลือผสม อโวคาโด สตอเบอร์รี่ สับปะรด และแตงกวา



    ควบคุม

    กริยา
    controlควบคุม, บังคับ, บังคับบัญชา, กำกับ, ยับยั้ง, บังคับการ
    handleจัดการ, จับ, ควบคุม, ใช้, ปฏิบัติ, ค้าขาย
    manageจัดการ, บริหาร, ควบคุม, ดูแล, บริหารงาน, ดำเนินการ
    harnessเทียม, ควบคุม, ใส่บังเหียน, ใส่อาน
    leashบังคับ, ควบคุม, ผูกเชือก, รั้งไว้, ขับ
    superviseดูแล, ควบคุม, กำกับ
    husbandเป็นสามีของ, ดูแล, เพาะปลูก, ควบคุม
    invigilateควบคุม, เฝ้าดู, สอดส่อง, คุมสอบ
    masterควบคุม, เป็นนาย, เรียนรู้, ปกครอง, เป็นเจ้า, ปราบปราม
    overseeควบคุม, กำกับ, คุมงาน, สำรวจ, คอยเหตุ
    subjectครอบงำ, ควบคุม, ทำให้ยอม
    ruleปกครอง, ควบคุม, ครองแผ่นดิน, ครอบงำ, ชำระความ, ตีบรรทัด
    possessมี, ครอบครอง, ได้, เป็นเจ้าของ, ควบคุม, คุม
    superintendกำกับ, ควบคุม
    repressปราบปราม, อดกลั้น, ควบคุม, ข่ม, ระงับใจ, รำงับ
    restrainยับยั้ง, ควบคุม, ผูกมัด, ข่ม, ยั้ง, อั้น
    chaperonติดตาม, ควบคุม, เป็นเพื่อน
    guideแนะนำ, นำ, นำทาง, แนะแนว, ชี้นำ, ควบคุม
     
    คุณศัพท์
    repressiveปราบปราม, อดกลั้น, ควบคุม


    โลหิต

      ธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินจะจับกับออกซิเจน
    ให้ลักษณะเป็นสีแดงโลหิตและแต่ละกรัมของฮีโมโกลบินจะนำออกซิเจนไปได้ 1.34 ซีซี

    ลำดับขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงฮีโมโกลบินเมื่อมีการจับและปล่อยออกซิเจน
    (จาก oxyhemoglobin เป็น deoxyhemoglobin)
     
    ๑. O2 เข้ามาจับกับธาตุเหล็กในฮีม ทำให้ธาตุเหล็กเคลื่อนตัวจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย
    ๒. การเคลื่อนตัวของเหล็กทำให้เกิดการขยับของแอลฟาโกลบิน และบีตาโกลบิน
    ๓. การขยับดังกล่าวทำให้สะพานเกลือ (salt bridges) ที่เชื่อมระหว่างมอโนเมอร์แยกออกจากกัน
    ๔. โมเลกุล 2,3-diphosphoglcerate (2,3-DPG) ที่อยู่ในช่องระหว่างบีตาโกลบินจะถูกขับออกมา
        รวมทั้งโมเลกุลของแก๊ซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จับอยู่กับสายโกลบินก็ ถูกขับออกไปด้วย
    ๕. การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ฮีมต้วต่อไปในโมเลกุลฮีโมโกลบินเผยตัวออกมา
        ทำให้จับกับออกซิเจนได้ง่ายขึ้น การจับออกซิเจนโดยฮีมตัวที่ ๒, ๓ และ ๔ นี้ เกิดได้ง่ายและเร็วกว่าการจับออกซิเจน โดยฮีมตัวแรก

    สมดุลของร่างกาย


    โภชนาการที่สมดุล






    ระบบขับถ่าย



    กระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกาย นอกจากจะก่อให้เกิดประโยชน์หรือให้ผลที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการ ซึ่งรวมเรียกว่าของเสีย เกิดขึ้นตามมาอีกด้วย ของเสียที่ร่างกายกำจัดออกมานั้นมีทั้งสารที่เป็นพิษตอร่างกาย และสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่มีปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกายจึงขับออกสู่ภายนอก ของเสียเหล่านี้มีทั้งในรูปของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ของเสียที่เป็นของแข็งร่างกายจะกำจัดออกทางทวารหนักในรูปของอุจจาระ ส่วนของเสียที่เป็นแก๊ส ร่างกายจะกำจัดออกมากับลมหายใจออก สำหรับของเสียที่เป็นของเหลวร่างกายมีกลไกในการกำจัดอยู่ 2 ทาง คือ การกำจัดของเสียทางไต และ การกำจัดของเสียทางผิวหนัง
    การกำจัดของเสียทางไต
        ของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการต่างๆภายในเซลล์จะถูกกำจัดออกจากเซลล์ โดยการแพร่เข้าสู่หลอดเลือด จากนั้นเลือดจะลำเลียงของเสียต่างๆยังไต เพื่อผ่านกระบวนการกำจัดของเสียออกจากเลือด
        ไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ค้ายเครื่องกรอง โดยจะกรองของเสียออกจากเลือด มีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วดำและจะมีอยู่ 2 ข้าง โดยติดอยู่ทางด้านหลังของช่องท้อง ขนาดโดยประมาณของไต คือ กว้าง 6 เซนติเมตร และหนา 3 เซนติเมตร เมื่อผ่าไตออกเป็น 2 ซีกพบว่าภายในไตประกอบด้วยหน่วยไต เล็กๆจำนวนมาก มีลักษณะเป็นท่อขดอยู่ และมีหลอดเลือดฝอยเป็นกระจุกกระจายอยู่เต็มไปหมด บริเวณตรงกลางไตที่เว้าบุ๋มลึกลงไป เรียกว่ากรวยไต และมีหลอดไตต่อเชื่อม ซึ่งหลอดไตนี้จะมีลักษณะเป็นท่อยาวจากกรวยไตไปจนถึงกระเพาะปัสสาวะ



    การทำงานของไต

         หลอดเลือดที่นำเลือดมายังไตเป็นหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจ ซึ่งจะลำเลียงทั้งสารที่มีประโยชน์และของเสียที่ต้องการกำจัดออก สารต่างๆที่เลือดลำเลียงมาจะถูกส่งเข้าสู่หน่วยไตโดยผ่านไปตามหลอดเลือดฝอย เพื่อให้หน่วยไตทำหน้าที่กรองสารที่อยู่ในเลือดก่อน ข้อมูลจากการทดลองพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงและสารจำพวกโปรตีนบางชนิด เช่น เฮโมโกลบิน ไม่สามารถผ่านเข้าสู่หน่วยไตได้ สำหรับสารบางจำพวก เช่น น้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโน และของเสียอื่นๆ จะผ่านเข้าสู่หน่วยไตได้และจะไหลเข้าไปตามท่อของหน่วยไต
        แร่ธาตุและสารบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่นั้น เมื่อผ่านไปตามท่อของหน่วยไตจะถูกผนังของหน่วยไตดูดซึมกลับคืนเข้าสู่หลอดเลือดฝอยใหม่ ส่วนของเสียอื่นๆนั้น ซึ่งจะรวมเรียกว่า น้ำปัสสาวะ จะถูกส่งผ่านไปตามหลอดไตและเข้าสู่กระเพาะปัสสาะต่อไป จากนั้นจึงถูกขับออกจากร่างกายในรูปของของเหลว คือ น้ำปัสสาวะนั่นเอง
        โดยปกติน้ำตาลกลูโคสเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจะถูกผนังของหน่วยไตดูดซึมกลับเข้าสู่หลอดเลือดฝอยหมด แต่ถ้ากรณีที่มีน้ำตาลกลูโคสในเลือดมากเกินไปหน่วยไตจะไม่ดูดซึมน้ำตาลกลูโคสกลับจนหมด และ จะปล่อยออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ในกรณีที่ตรวจพบว่าในน้ำปัสสวะมีอนุภาคของน้ำตาลกลูโคสมากผิดปกติ แสดงว่าบุคคลผู้นั้นกำลังมีอาการของโรคเบาหวาน
        กระเพาะปัสสาวะปกติมีความจุได้ประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่เมื่อในกระเพาะปัสสาวะมีน้ำปัสสาวะประมาณ 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ร่างกายจะรู้สึกอยากปัสสาวะ


    การกำจัดของเสียทางผิวหนัง

        ของเสียที่มีสถานะของเหลวนอกจากจะถูกขับออกจากร่างกายในรูปน้ำปัสสาวะที่ผ่านทาไตแล้วยังมีของเสียในสถานะของเหลวอีกส่วนหนึ่งถูกขับออกจากร่างกายในรูปของเหงื่อ ซึ่งผ่านทางผิวหนัง ผิวหนังนอกจากจะทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายในรูปของเหงื่อแล้ว ยังมีส่วนระบายความร้อนให้แก่ร่างกายเพื่อขับเหงื่อออกสู่ภายนอก โดยปกติความร้อนที่เสียไปทางผิวหนังจะมีปริมาณ 87.4 %
        เหงื่อที่ร่างกายขับออกมานั้นประกอบไปด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ และจะมีเกลือบางชนิดถูกขับปนออกมาด้วย จึงทำให้เหงื่อมีรสเค็ม สำหรับเงื่อได้ถูกสร้างขึ้นที่บริเวณของต่อมเหงื่อซึ่งอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย

          โครงสร้างภายในของต่อมเหงื่อจะมีลักษณะเป็นท่อขดอยู่เป็นกลุ่ม ซึ่งมีหลอดเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยงโดยรอบ โดยหลอดเลือดฝอยเหล่านี้จะลำเลียงเอาของเสียที่ต้องการกำจัดออกจากร่างกายทางผิวหนังมายังบริเวณต่อมเหงื่อ
        ของเสียที่ถูกลำเลียงมากับเลือด เมื่อมาถึงบริเวณต่อมเหงื่อแล้วของเสียจะแพร่ออกจากหลอดเลือดฝอยเข้าสู่ท่อในต่อเหงื่อ จากนั้นของเสียจะถูกลำเลียงไปตามท่อ โดยจะเปิดอยู่บริเวณผิวหนังด้านบน

    ฺฺิฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺฺ
    การกำจัดของเสียทางลำไส้ใหญ่
        หลังจากการย่อยอาหารเสร็จสิ้นลง อาหารส่วนที่เหลือและส่วนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้จะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางลำไส้ใหญ่ (ทวารหนัก ) ในรูปที่รวมเรียกว่า อุจจาระ 
        อาหารท้องผูก จะเกิดจากการที่มีอุจจาระตกค้างอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่นานเกินไป ผนังของลำไส้ใหญ่ดูดซึมเอาน้ำที่ปะปนอยู่ในอุจจาระออกทำให้เกิดความยากลำบากในการขับถ่าย  ผู้ที่มีอาการท้องผูกจะรู้สึกแน่นท้อง อึดอัด บางรายอาจมีอาการปวดท้องหรือปวดหลังด้วย อาการต่างๆเหล่านี้จะหายไป เมื่อถ่ายอุจจาระออกจากร่างกาย ผู้ที่มีอาการท้องผู้กนานๆอาจเป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงทวารได้  สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกมีอยู่หลายประการ เช่น รับประานอาหารที่มีกากน้อยเกินไป และ อาหารรสจัดเป็นประจำ ขับถ่ายไม่เป็นเวลา เกิดอาการเครียดอยู่บ่อยๆ สูบบุหรี่จัด หรือดื่มน้ำชา กาแฟมากเกินไป

    การกำจัดของเสียทางปอด

     มนุษย์ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นสัปดาห์แม้จะไม่ได้รับอาหารเลยและจะอยู่ได้หลายวันในสภาวะขาดน้ำ แต่เมื่อใดที่ขาดอากาศ จะตายในเวลาไม่กี่นาที ออกซิเจนเป็นแก๊สที่พบทั่วไปในบรรยากาศและจำเป็นต่อเมตาบอลิซึมของเซลล ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน การหายใจนำแก๊สออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียจากขบวนการเมตาบอลิซึมออกไปพร้อมกับไอน้ำ
        การแลกเปลี่ยนแก๊สนี้เกิดขึ้นที่ถุงลมขนาดเล็กจำนวนมากมายที่อยู่เกือบเต็มปอด ออกซิเจนที่เข้ามาในถุงลมจะเข้าสู่หลอดเลือดฝอยที่อยู่รอบๆแล้วถูกนำไปในกระแสเลือด ส่งไปให็เซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย ในทำนองเดียวกัน คาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์ก็จะถูกส่งจากหลอดเลือดฝอยไปยังถุงลมและปล่อยออกไปจากปอด
    :::::: ของเสียที่ถูกกำจัดออกจากร่างกายทางปอด ได้แก่ น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการหายใจของเซลล์ต่างๆในร่างกาย


    ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.2-teen.com/community/forum.php?mod=viewthread&tid=25652


     ออกซิเจนเพียงพอและการดื่มน้ำ






    สุขภาพจิตที่ดี






    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    ิิิhttp://www.hiso.or.th/hiso/health_news/health_story3_10.php






    ที่มา : http://www.elle.co.th/health-fitness-news.php

    ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต







    การงดอาหารเพื่อล้างพิษ

         อดเพื่อสุขภาพ
                     การทำ Fasting ก็คือการงดอาหารหรือควบคุมอาหารเพื่อเป็นการล้างสารพิษอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้ที่เข้าโปรแกรม Fasting จะไม่ได้กินอาหารตามปกติแต่จะได้รับอาหารที่กำหนดตามโปรแกรม เช่น บางแห่งอาจให้เป็นน้ำบริสุทธิ์ น้ำแร่ ชาสมุน- ไพรหรือดื่มน้ำเปล่าร่วมกับน้ำผักผลไม้ เช่น น้ำมะพร้าวสด น้ำส้มผสมสับปะรด และ มะนาว น้ำแตงโมปั่น น้ำมะเขือเทศ น้ำแครอตผสมสมุนไพร น้ำซุปผัก ขึ้นอยู่ว่าจะเลือกชนิดใด เพราะแต่ละที่จะมีสูตรเฉพาะ ดังนั้นจึงควรสอบถามรายละ - เอียดให้ชัดเจนก่อน และแม้ว่าการจัดโปรแกรมของแต่ละแห่งจะต่างกันออกไป แต่โดยหลักการก็เพื่อให้สารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารในร่างกายลดน้อยลง และหลังจากอดอาหารเป็นเวลา 3 วันร่างกายจะย่อยสลายเนื้อ
    เยื่อและเผาผลาญสารที่เป็นของไม่ดีออกไป ดร.พันนิดาธเนศอนันต์ แพทย์ประจำแผนกเมดิคัล สปา โรงพยาบาลเซ็นต์- คาลอส เล่าถึงการล้างพิษว่า "การล้างพิษจะเริ่มตั้งแต่ให้ดื่มชาสมุนไพร ควบคุมอาหารมีเครื่องมือทำให้น้ำเหลืองถ่ายของ เสียออกมาได้ดีขึ้น มีการขัดผิวหนัง ขับไล่น้ำเหลืองให้ไหลเวียน
    สะดวกดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ8แก้วขึ้นไปออกกำลังกาย อย่างน้อย 30 นาที แล้วยังมีออกซิเจนเธอราพี
    หรือการทำให้ออกซิเจนเข้าไปในร่างกายได้เพียงพอ หลังจากนั้นแล้ว ร่างกายจะรู้สึกเบาและแข็งแรงขึ้น รวมทั้งยังสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ระบบขับถ่ายก็จะดีขึ้นด้วยน้ำหนักจะลดลงประมาณ 3-5 กิโล หลังจากนี้หากควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอน้ำหนักก็จะไม่กลับขึ้นมาอีก โดยในหนึ่งปีแนะนำ
    ให้ทำสักประมาณ 2 ครั้ง แต่ก่อนทำต้องให้หมอตรวจเช็กร่างกายก่อน เพราะบางคนอดอาหารได้ไม่
    เหมือนกัน" การรู้จัก วิธีอดอาหารอย่างถูกต้องยังเป็นขั้นตอนของการพักฟื้นและช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย กลุ่มอาการที่สามารถใช้การอดเพื่อ สุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพในการรักษาคือ โรคภูมิแพ้ หอบหืด ไมเกรน เครียด นอนไม่หลับ รูมาตอยด์ SLE ไขมัน ในเลือดสูง ท้องผูก อาหารไม่ย่อย กลุ่มอาการลำไส้ระคายเคือง และโรคอ้วน อย่างไรก็ตามการทำ Fasting ไม่เหมาะกับ กลุ่มคนดังต่อไปนี้คือเด็ก ผู้หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียหรือสุขภาพไม่แข็งแรง แต่ถ้าหากต้องการ ล้างพิษด้วยการทำ Fasting ต้องอยู่ในการควบคุมดูของแพทย์ สำหรับผู้มีปัญหาสุขภาพ อย่างเช่น เบาหวาน ความดัน เลือดสูง ไขมันในเลือดสูง เครียด นอนไม่หลับ สามารถทำการอดอาหารอย่างได้ผลดี แต่ต้องให้แพทย์เป็นผู้ดูแลโปร- แกรมเช่นกัน