วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

อาหาร จะต้านมะเร็งได้อย่างไร


                มีคนสงสัยว่า อาหาร จะต้านมะเร็งได้อย่างไร แล้วคนเป็นมะเร็ง ควรทานอย่างไร จึงจะดีที่สุด  ก่อนอื่นต้องแยกให้ชัดเจนก่อนว่า การป้องกันมะเร็ง กับการรักษามะเร็ง เป็นคนละเรื่องกัน การป้องกันมะเร็ง เราจะเลือกใช้อาหารและสารอาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ อาหารก็ต้องเลือกที่ปลอดสารพิษ หรือมีการล้างอย่างดี เช่น การล้างด้วยน้ำด่าง แช่ด้วยผงถ่าน หรือใช้เครื่องล้างผักสำเร็จรูป ซึ่งจะใช้โอโซนในการฆ่าเชื้อ ทำลายสารเคมีตกค้าง และใช้อัลตร้าโซนิกในการทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยชะล้างสารเคมีตกค้าง ที่อาจฝังแน่นในเนื้อผักผลไม้ลึกลงไปกว่าที่ผิว การเลือกใช้วิธีไหนก็คงขึ้นอยู่กับทุนทรัพย์ และทัศนคติต่อการดูแลรักษาสุขภาพ  เช่น ผงถ่าน ข้อดีคือ ดูดซับสารพิษได้ดี โรงพยาบาลทุกแห่งมีใช้ เวลาผู้ป่วยได้รับสารพิษที่ไม่มีข้อห้ามในการล้างท้อง ก็จะใช้ผงถ่านในการล้างท้อง เพื่อดูดซับสารพิษออกมา ผงถ่านกระปุกใหญ่ ใช้ได้นานเป็นเดือน ราคากระปุกละ 85 บาท  ส่วนการใช้น้ำด่างและน้ำที่มีค่า ORP ติดลบ สำหรับคนที่ติดตั้งเครื่องทำน้ำด่างและน้ำ ORP เป็นลบไว้แล้วที่บ้าน ก็สามารถใช้น้ำชนิดนั้นมาแช่ผักผลไม้ได้เลย  ความจริง ผงถ่านเมื่อละลายน้ำแล้ว ก็จะเกิดความเป็นด่าง ซึ่งจะดึงดูดโมเลกุลของสารเคมีต่างๆ ให้หลุดออกมาจากผิวของผักผลไม้ได้ดี  ส่วนเครื่องล้างสารพิษออกจากผักผลไม้ ราคาเครื่องละ 20,000 – 30,000 บาท  ถ้าพอจะมีเงินซื้อ ก็ไปซื้อมาใช้ เพื่อสุขภาพเราเอง ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องกังวล ใช้วิธีแช่ด้วยผงถ่าน
สารสกัดจากบร๊อคโคลี่
                ถ้าเป็นมะเร็งแล้ว เราจะใช้วิตามินและสารอาหาร ไม่ใช่ในขนาดปกติ แต่เป็นขนาดที่จะมีผลทางเภสัช ออกฤทธิ์ในตำแหน่งเฉพาะๆ เพื่อรักษามะเร็ง เสมือนประหนึ่งเป็นยารักษามะเร็งทีเดียว เช่น สารสกัดจากบร๊อคโคลี่ ชื่อ I3C สามารถยับยั้งตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน มีฤทธิ์คล้ายยาเคมีบำบัดตัวหนึ่ง ซึ่งใช้รักษามะเร็งเต้านมคือยาทามอกซิเฟน เคยมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่า I3C สามารถยับยั้งการเจริญของมะเร็งเต้านมชนิดมีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ถึง 90% ในขณะที่ยาทามอกซิเฟนสกัดสามารถยับยั้งได้ 60% นอกจากนี้ I3C ยังสามารถหยุดยั้งการสังเคราะห์ DNA ในมะเร็งเต้านมชนิดไม่มีตัวรับเอสโตรเจนได้ 50% ซึ่งตัวยาทามอกซิเฟน ไม่สามารถยับยั้งได้
เคอคูมิน
                สารอีกตัวหนึ่ง ได้มาจากสารสกัดขมิ้น เคอคูมิน พบว่า เคอคูมิน ยับยั้งขบวนการเจริญของมะเร็งในขั้นของการสร้างโปรตีนควบคุมการเจริญ ซึ่งในเนื้อเยื่อมะเร็ง จะมีการสร้างโปรตีนกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ ออกมามากผิดปกติ ทำให้เซลล์เจริญผิดปกติ เป็นมะเร็งในที่สุด  เคอคูมิน ยับยั้งโปรตีน หรือยับยั้งตัวรับโปรตีนเหล่านี้ เช่น epidermal growth factor receptor, basic fibroblast growth factor, nuclear factor kappa beta จึงเป็นการควบคุมการเจริญของมะเร็ง

EGCG ในชาเขียว
                ในชาเขียว มีสาร EGCG สารชนิดนี้ ยับยั้ง nuclear factor kappa beta ซึ่งเป็นโปรตีนที่มะเร็งมีมาก มะเร็งสร้างขึ้นมาเพื่อเร่งการโต การศึกษาในปี 2001 พบว่า EGCG ช่วยยับยั้งการเจริญของมะเร็งได้ 58% ลดการสร้างเส้นเลือดใหม่ได้ 30%  และเพิ่มการตายของมะเร็ง 1.9 เท่า  ยังพบอีกว่า EGCG ยับยั้งเอนไซม์ เทโลเมอเรส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (cancer stem cell) อาศัยในการต่ออายุของมัน ดังนั้น EGCG อาจมีบทบาท ลดการทำงานของ เซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งได้

เมลาโทนิน
                เมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง คนนำมาใช้เป็นอาหารเสริมช่วยเรื่องการนอนหลับ พบว่า เมลาโทนิน ไปยับยั้งตัวรับเอสโตรเจน ออกฤทธิ์เหมือนกับยารักษามะเร็งเต้านม ทามอกซิเฟน แต่เมลาโทนิน มีผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับ ทามอกซิเฟน

กระเทียม
                สารสกัดจากกระเทียม พบว่า ช่วยการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยการทำงานเซลล์กินเชื้อโรค มาโครฟาจ และมีรายงานการศึกษาว่าสามารถยับยั้ง มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งเมลาโนมา

องุ่นแดง
                สารสกัดจากองุ่นไวน์แดง เรสเวอราทรอล ช่วยยับยั้งการอักเสบ ซึ่งรวมไปถึงการอักเสบที่เกิดรอบๆ หลอดเลือดในก้อนมะเร็ง และเป็นสาเหตุให้มะเร็งกระจาย และช่วยเพิ่มโปรตีนที่ควบคุมการเจริญของก้อนมะเร็ง โดยผ่านการทำงานของโปรตีน P21 และ โปรตีน BAX ซึ่งจะหยุดการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ การศึกษาในห้องทดลอง พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้ 98% การศึกษาในหนู ลดขนาดเนื้องอกมะเร็งปอดชนิดแพร่กระจายสูง highly metastatic Lewis Lung carcinoma ได้ 42% ลดการแพร่กระจาย 56%

ถั่วเหลือง
                สารสกัดไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลือง  ถั่วเหลือง มีสารที่ช่วยยับยั้งตัวรับเอสโตรเจน และตัวรับแอนโดรเจน จึงสามารถยับยั้งมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก เดิมเราคิดว่าถั่วเหลืองมีสารจำพวกเอสโตรเจนจากพืช คือ ไฟโตเอสโตรเจน เราเลยกลัวว่าถั่วเหลืองไม่น่าจะเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง  แต่นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ในประเทศที่พลเมืองกินเต้าหู้เป็นอาหารหลัก กลับพบอัตราการเกิดมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศน้อย แต่ในประเทศที่ไม่ได้กินเต้าหู้หรืออาหารที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นหลัก จะพบอัตราการเกิดมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนสูงกว่า จึงทำให้นักวิจัยเกิดความสนใจศึกษาเรื่องราวของถั่วเหลืองมากขึ้น  และพบว่า ตัวรับเอสโตรเจนที่ผนังเซลล์มีสองชนิดคือ ชนิดเอกับชนิดบี ถั่วเหลืองจะกระตุ้นตัวรับชนิดบี เท่านั้น ซึ่งส่งผลในการระงับอาการร้อนวูบวาบจากการขาดฮอร์โมน ช่วยเสริมสร้างกระดูก ผิวหนังไม่แห้ง ลดอัตราความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด  ในขณะที่ตัวรับเอสโตรเจนชนิดเอ เกี่ยวข้องกับการเจริญผิดปกติของเซลล์  ยังพบอีกว่า ตัวรับเอสโตรเจนชนิดบี จะกดการทำงานของตัวรับเอสโตรเจนชนิดเอ ดังนั้น ช่วยยับยั้งไม่ให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เข้าไปสู่เซลล์ โดยสรุปก็คือ ถั่วเหลืองมีฤทธิ์แบบต้านเอสโตรเจน ในขณะที่คงคุณสมบัติที่เป็นส่วนดีของเอสโตรเจนไว้ได้ (ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นตัวรับเอสโตรเจนชนิดบี เช่น รักษาระดับความแข็งแรงของกระดูก ผิวหนัง สมอง ลดความเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ)
 
วิตามินซี
                ถ้าจะป้องกันมะเร็งด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีก็ถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวหนึ่ง ปัจจุบันเราหาชนิด 1,000 มก. ได้ไม่ยากนัก คนส่วนใหญ่จะทานวันละ 500 1,000 มก.  แต่ถ้าจะรักษามะเร็ง ไม่ควรใช้สารต้านอนุมูลอิสระพร่ำเพรื่อ  โดยเฉพาะถ้ากำลังอยู่ในระหว่างการให้เคมีบำบัดหรือการฉายแสง  อย่างไรก็ตาม วิตามินซีก็สามารถเป็นเคมีบำบัดรักษามะเร็งได้  แต่ต้องให้ในขนาดสูงมากที่เรียกว่าเมกะโดส วิตามินซีในขนาดที่เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง จะต้องให้ระดับของวิตามินซีในเลือดขึ้นไปสูงถึง 600 mg/dL แม้ว่าวิตามินซีจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ในขนาดสูง จะเป็นอนุมูลอิสระเสียเอง โดยเฉพาะอนุมูลอิสระจำพวกเปอร์ออกไซด์   ทั้งนี้ เซลล์ของมะเร็งจะมีระดับเอนไซม์ย่อยอนุมูลอิสระที่ชื่อ คาทาเลส อยู่น้อยกว่าเซลล์ปกติทั่วไป ดังนั้น เมื่อเกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายจากวิตามินซี เซลล์ทั่วไปก็จะอาศัย คาทาเลส ไปย่อยอนุมูลอิสะชนิดเปอร์ออกไซด์ได้  แต่เซลล์มะเร็งขาดเอนไซม์ คาทาเลส ก็จะไม่สามารถป้องกันตัวเองจากอนุมูลอิสระได้ เซลล์มะเร็งก็ตายลง เคยมีการศึกษาวิจัย ใช้วิตามินซีเมกะโดส ร่วมกับเคมีบำบัด พบว่า ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อเคมีบำบัดได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามการศึกษาด้วยการใช้วิตะมินซีขนาดปกติ ร่วมกับเคมีบำบัด พบว่าผลของเคมีบำบัดลดลง ดังนั้น อย่าตัดสินใจรับประทานวิตามินเอง ถ้าท่านกำลังรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าเชื่อแพทย์ทางด้านเคมีบำบัดไปเสียทั้งหมด เพราะท่านเหล่านั้นไม่มีความรู้ด้านการบำบัดมะเร็งทางอื่น

                เมื่อไม่นานมานี้ มีการศึกษาตีพิมพ์ในวารสารมะเร็งวิทยาคลินิก ธันวาคม ปี 2004 เพื่อจะดูว่า เคมีบำบัด ช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิต 5 ปีออกไปได้มากน้อยแค่ไหน โดยวิธีการวิเคราะห์ผลการศึกษาวิจัย เฉพาะที่พบว่าเคมีบำบัด มีนัยสำคัญทางสถิติที่เพิ่มอัตรารอด 5 ปี ของประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในช่วงปี 1990 ถึง 2004 ผลการศึกษาพบว่า เคมีบำบัดช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตในออสเตรเลียเพียง 2.3%  ในสหรัฐอเมริกาเพียง 2.1%  ถ้าแยกเฉพาะมะเร็งเต้านม ลำไส้ ศรีษะและคอ พบว่าเพิ่มอัตรารอดทั้งหมด น้อยกว่า 5%  มีมะเร็งเพียงไม่กี่ชนิดที่เคมีบำบัดเพิ่มอัตรารอดได้สูง คือ มะเร็งอัณฑะเพิ่มอัตรารอด 41%, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพิ่มอัตรารอด 10.5-38% มะเร็งรังไข่ เพิ่มอัตรารอด 8.8% 
                ...ถ้าเป็นมะเร็งแล้ว นอกจากวิธีการรักษาแบบแผนปัจจุบันแล้ว ควรศึกษาความคุ้มไม่คุ้มในการรักษาให้ดี
.....................................................................................................................................................
 -ข้อมูลจาก   http://www.absolute-health.org/doc-026.htm
แอ็บโซลูท เฮลธ์ คลินิค 53 ชั้น 3 (อาคาร Urbis โรงแรม ดิ เอทัส บางกอก) ซอยร่วมฤดี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี
.........................................................................................................................................................................







1.ผัก  - ผักมีกากใยปริมาณมาก  ซึ่งผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ได้แก่
v   กลุ่มผักมีสี เช่น บีทรูท ผักโขม แครอท มะเขือเทศ  ยิ่งมีสีเข้มมมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่ามีสารที่มีประโยชน์ (phytochemical) มากขึ้นเท่านั้น   รงควัตถุเหล่านี้ได้แก่ ไบโอฟลาวินอยด์ 20,000 ชนิด และแคโรทีนอยด์ 800 ชนิด ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายและยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็ง
v   กลุ่มกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี กะหล่ำดอก   ในผักชนิดนี้จะมีสารต้านมะเร็ง  สารที่ช่วยขจัดสารพิษ ตลอดจน อินดอล-3-คาร์บินอลและซัลโฟราเฟน
v   หัวหอม&กระเทียม ประกอบด้วยไบโอฟลาวินอยด์หลายชนิดด้วยกัน หนึ่งในนั้นได้แก่ เคอร์ซิทิน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้  นอกจากนี้ยังมีสารต้านมะเร็งอื่นๆ ได้แก่ อัลลิซิน , เอส-อัลลิล ซิสทีอิน, ซีลีเนียม และสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย   ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดี ที่เราจะรับประทานกระเทียมและหัวหอม เป็นประจำ
2.       ปลาน้ำเย็น เช่น แซลมอน คอท แมคเคอเรล  ซาร์ดีน  ทูน่าและปลาจากทะเลน้ำลึก  ในปลา  เหล่านี้จะอุดมไปด้วยไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ได้แก่ EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA ( docosahexaenoic acid) ซึ่งชะลอการแพร่ของมะเร็ง  กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆที่พบในน้ำทะเล แต่ไม่พบในดิน
3.       ถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ในถั่วเหล่านี้พบว่ามีสารต้านโปรตีเอสในปริมาณสูง(มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง) นอกจากนี้ยังพบว่ามีอินโนซิทอล เฮกซาฟอสเฟต(กรดไฟตริก ซึ่งในท้องตลาด จะขายในรูปของ IP-6)  และจีเนสเตอิน (ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง)   นอกจากนี้ในถั่วยังอุดมไปด้วยกากใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายตามธรรมชาติ
4.       เมล็ดธัญพืช เช่นข้าว โอ๊ต  บาร์เลย์  ข้าวโพด ข้าวสาลี  เนื่องจากเมื่อกากใยของพืชเหล่านี้แตกตัวที่ลำไส้จะเปลี่ยนเป็นกรดบิวไทริกที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
5.       สาหร่ายทะเล  จะประกอบด้วยสารบางชนิดที่ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร  และยังประกอบด้วยกากใยชนิดพิเศษที่สามารถละลายน้ำได้ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำไขมันอันตราย สารอนุมูลอิสระ สารพิษต่างๆออกจากลำไส้     นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุอย่างดีจากน้ำทะเล
6.       เบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่  เบอร์รี่สีดำ เพราะในเบอร์รี่จะมีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง และยังมีกรดอัลลาจิกที่จะทำลายเซลล์มะเร็งให้ตาย
7.       โยเกิร์ต  เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลัส ที่สามารถหมักนมให้เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน  และเนื่องจากกว่า 80% ของระบบภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่ทางเดินอาหาร  ดังนั้นโยเกิร์ตจึงเป็นอาหารที่จัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายในการป้องการติดเชื้อและยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย
8.       ชาเขียว  ประกอบด้วยคาเทชินและสารเคมีในพืชอีกหลายชนิดด้วยกัน  จากงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่นและจีน พบว่าชาเขียวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้
        หมายเหตุ  การดื่มชาเขียวให้ได้รับประโยชน์เต็มที่นั้น ต้องดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จ เนื่องจากถ้าทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฎิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ  ทำให้สูญเสีย   คุณค่าไป
9.       เครื่องเทศ  -มาสตาร์ด  พริก พริกไท  กระเทียม หัวหอม  ขิง โรสแมรี่  อบเชยและเครื่องเทศอื่นๆที่ใช้ปรุงแต่งรส  สามารถต้านมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
10.    น้ำสะอาด  - เป็นเรื่องแปลกที่กว่า 2 ใน 3 ของพื้นที่บนโลกและของร่างกายนั้นประกอบด้วยน้ำ  เนื่องจากน้ำนั้นเป็นเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆของเซลล์ อาทิเช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง  การทำความสะอาด  การขจัดสิ่งสกปรก  และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์  ตลอดจนนำของเสีย หรือสารพิษออกจากเซลล์อีกด้วย                                                                                                                                                                        

อาหารชั้นเยี่ยม

                        ถึงแม้ว่าอาหารหลากหลายชนิดจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย  แต่มีอาหารเพียงไม่กี่อย่างที่จัดว่าเป็น  อาหารชั้นเยี่ยม ซึ่งได้แก่
v   กระเทียม  เป็นเครื่องเทศกลิ่นแรงที่ใช้ประกอบอาหารกันมามากกว่า 5,000 ปี นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบในสูตรยาฆ่าเชื้ออีกด้วย          หลุยส์  ปาสเตอร์พบว่า กระเทียมสามารถฆ่าเชื้อที่อยู่ในจานเพาะเชื้อได้   และยังพบว่ากระเทียมจะกระตุ้นการทำงานของร่างกายในการป้องกันเซลล์มะเร็ง     อับดุลลาห์ แพทย์ของมหาวิทยาลัยฟลอริดา พบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ที่กินกระเทียม สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดีกว่าเซล์เม็ดเลือดขาวของผู้ไม่กินกระเทียมถึง 139 %   มีการทดลองพบว่าทั้งกระเทียมและหัวหอมสามารถลดการเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง  และจากการให้หนูทดลองกินกระเทียม พบว่าในหนูที่มีแนวโน้มว่าทางพันธุกรรมว่าเป็นมะเร็งได้ง่าย จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลดลง
มะเร็งที่พบได้บ่อย คือมะเร็งกระเพาะอาหาร  ซึ่งนักวิจัยชาวจีน พบว่าการบริโภคกระเทียมและหัวหอมในปริมาณสูงๆ สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่กระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง  นอกจากนี้กระเทียมยังทำให้ตับสามารถทนต่อสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้มากขึ้นด้วย  และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของกระเทียมที่จะทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ไม่ทำลายเซลล์ปกติ ดังนั้นจึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย
v   แคโรทีนอย  -ทั้งแคโรทีนอยและไบโอฟลาวินอยในพืช จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังกระตุ้นการทำงาของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย  โดยที่หน้าที่หลักของแคโรทีนอย คือจะเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง  แคโรทีนอยจะพบทั้งในผัก-ผลไม้สีเขียวและสีส้ม   ส่วนไบโอฟลาวินอยจะพบในพวกผลไม้รสเปรี้ยว ธัญพืช น้ำผึ้ง
v   พวกหัวกะหล่ำ  -ได้แก่  บร็อคโคลี,  กะหล่ำปลี,  กะหล่ำปลีbrussel,  ดอกกะหล่ำ ซึ่งพืชเหล่านี้จะมีส่วนหัวอยู่ติดกับพื้นดิน  เนื่องจากในพืชชนิดนี้จะมีสารอินโดล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง  นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ พบว่าในสัตว์ทดลองที่เลี้ยงด้วยพืชประเภทนี้ เมื่อได้สารก่อมะเร็งชนิดอัลฟาทอกซินนั้นโอกาสเกิดมะเร็งลดลงถึง 90 %
v    เห็ด   นักวิทยาศาสตร์พบว่าเห็ดไรชิ ,เห็ดชิตาเกะ ,เห็ดไมตาเกะ มีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง  มีการทดลองให้สัตว์กินสารสกัดจากเห็ดไมตาเกะ  พบว่า 40%ของสัตว์ทั้งหมดสามารถกำจัดมะเร็งได้หมดสิ้น  ส่วนอีกสัตว์อีก60%นั้นสามารถกำจัดมะเร็งได้ถึง 90%    ในเห็ดไมตาเกะ ประกอบด้วยโพลีแซคคาไลท์ ที่ชื่อว่า เบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยลดความดันเลือด
v    ถั่ว  - บรรดาเมล็ดพืชทั้งหลายที่มีเปลือก จะมีสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถย่อยเมล็ดเหล่านั้นได้โดยตรง  จาการค้นพบที่ผ่านมาพบว่าสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ สามารถยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็งได้   สถาบันมะเร็งนานาชาติ พบว่าในอาหารประเภทถั่วนั้นประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวนและสารไฟโตเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี   และจากงานวิจัยของDr. Ann Kennedy พบว่าในถั่วมีคุณสมบัติดังนี้
·        ป้องกันการเกิดมะเร็งในสัตว์ที่ได้สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
·        ในงานวิจัยบางงานพบว่า สามารถทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าลง
·        ลดผลข้างเคียงของการใช้ยาและรังสีเพื่อการรักษามะเร็ง
·        สามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้
นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่สามารถยับยั้งการแพร่ของมะเร็งได้  อาทิเช่น แอปเปิ้ล  แอพริคอท 
บาร์เล่ย์  ผลไม้รสเปรี้ยว  แครนเบอร์รี่  ปลา   น้ำมันปลา  ขิง  โสม  ชาเขียว  ผักโขม  สาหร่ายทะเล 
.........................................................................................................................................................................................................................................................................
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพดีเรียบเรียงโดย บริษัท กู๊ดเฮลท์ ประเทศไทย จำกัด   ( 7 / 8 / 2549 )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น